วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรื่องสั้นตอนที่ 8 : ช่างกลพัทยา


เรื่องสั้นตอนที่ 8 :  ช่างกลพัทยา

โดยเล็ก 207  วันที่  22.12.2555

 
ห่างหายกันไป 2 สัปดาห์  กล่าววาจาว่าจะไปทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อบุพการี ก็ได้กระทำตามใจอยาก ปัจจุบันแม่ผมก็ยังคงนอนให้หมอรักษาตัวอยู่ในห้อง ไอซียู พร้อมด้วยเครื่องช่วยหายใจ และสายอะไรต่อมิอะไร เต็มตัวเต็มเตียงไปหมด อยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ผมจึงต้องวิ่งขึ้นลงกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดแบบไม่ได้พัก  กลางวันเร่งทำงานหาเงินเพื่อให้พอจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่แพงระดับ คนเป็นตาย คนป่วยรอด เลยทีเดียว  แต่ก็เพราะเป็นบุพการีอันเป็นที่รัก จะตายซักกี่รอบก็คงยอมได้  ส่วนกลางคืนผมก็ต้องทำหน้าที่พยาบาลเฉพาะกิจนอนเฝ้าไข้แม่ที่โรงพยาบาลนั่นเลย   ระยะหลังแม่ผมย้ายจากห้องผู้ป่วยพิเศษมาเข้าห้องไอซียู  ทำให้นอนเฝ้าไข้ไม่ได้ ก็อาศัยจังหวะนี้ได้นอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อรอวันแม่ย้ายมาห้องปกติจะได้เฝ้าไข้กันต่อจนหาย

 
วันที่ผมเขียนเรื่องสั้นตอนที่ 8 วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2555  วันนี้ช่วงสายๆ ผมมีภารกิจต้องไปส่งพัสดุที่ไปรษณีย์ ย่านลาดกระบัง ก็บังเอิญได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่บุรณพนธ์  เพื่อนคนนี้เรียนรอบเช้า ในขณะที่ผมเองเรียนรอบค่ำ และเข้าใจว่าเพื่อนผมคนนี้น่าจะเรียนรุ่นหลังผมซัก 1-2 ปี แต่ก็ทันรุ่นกัน และก็นับไปเพื่อนที่คุ้นเคยกันในระดับเจอหน้าก็กอดกันได้โดยไม่เก้อเขิน  เพื่อนคนนี้ เมื่อสมัยเรียน ใส่เสื้อฟ้ารอบเช้า กางเกงยีนส์ลีวาย 501 เข้ม  ตัวเล็ก  มีรอยยิ้มเสมอเมื่อเจอหน้ากันทั้งที่ซอยลาดพร้าว 38 และที่เซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่อนผมคนนี้เรียนรุ่นราวคราวกันกับ พวกเอกหล่อ หมอชิต จิม อะไรประมาณนี้ 

 เพื่อนผมคนนี้ชื่อ ไอ้ลาวในสมัยเรียนพวกเราเรียกกันแบบนั้น

 ผมดีใจที่ เพื่อนลาว ยังจำผมได้ และทักทายกัน เราคุยกันสักพักพอให้หายคิดถึง เพื่อนลาว บอกผมว่าปัจจุบันหาเลี้ยงชีพโดยการประมูลของจากกรมศุลกากร และโฆษณาขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ต  รวมถึงการรับเป็นนายหน้าพระเครื่อง จัดหา-และปล่อยออกอีกด้วย  ก็เป็นอาชีพทางเลือกที่ดูอิสระไม่เลวทีเดียว

เพื่อนลาวได้เล่าถึงเมื่อวันที่จบการศึกษาจากบุรณพนธ์และต้องไปศึกษาต่อที่มหาลัยศรีปทุมฯ ย่านบางเขน   เพื่อนลาวของผม เล่าอย่างออกรสออกชาดเกี่ยวกับบรรยากาศที่ ม.ศรีปทุม  ว่า ได้กลายเป็นสถาบันที่รองรับเด็กอาชีวะชื่อดังทั้งหลายในยุคนั้น ให้มารวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น บุรณพนธ์ กนกอาชีวะ ก่อสร้างอินทร และสถาบันอื่นๆ

เพื่อนลาวเล่าต่อ.....เพื่อนต่างสถาบันที่อดีตเคยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าจะเป็น  ดา-อินทร,  ต้น-อินทร,  บอย-กนก,  วิทย์-กนก ฯลฯ  ทุกคนล้วนแล้วแต่มาเจอกันที่ศรีปทุมทั้งสิ้น  สิ่งที่บาดหมางกันมาในอดีตก็มลายหายไปหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ฟังถึงตรงนี้ผมก็ดีใจ  และก็ได้ต่อสายถึงแมงวันแม่กลอง ให้ได้คุยกันกับเพื่อนลาว ของผม    

เล่าถึงตรงนี้ผมก็ขออธิบายความเชื่อมโยงกันของสังคมบุรณพนธ์ให้ท่านที่ไม่คุ้นเคยได้ทำความเข้าใจกันก่อน  จริงๆแล้ว ทั้งผม ทั้งแมงวันแม่กลอง และทีมเพื่อน 207 ค่ำ นั้น  เมื่อตอนเรียนพวกเราก็เรียกว่าไม่ค่อยจะสนิทกับรอบเช้าซักเท่าไหร่ เพราะด้วยเวลาเรียนที่แตกต่างกัน  และสถานที่ๆที่ใช้มั่วสุมกันก็อยู่กันคนละที่  แต่ก็ด้วยความเป็นบุรณพนธ์ ที่ยึดโยงพวกเราเอาไว้ ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้  และเมื่อถึงวันที่รอบเช้าซึ่งไม่ว่าเป็น เพื่อนลาว เอกหล่อ เอกโล้น หรือใครก็แล้วแต่ ต้องการความช่วยเหลือจาก พวกเราชาว 207 ค่ำ พวกเราก็ไม่เคยตอบปฏิเสธเลย แม้แต่ครั้งเดียว  พวกเราทั้งหมดจึงมีโอกาสได้พบปะ พูดคุยและทำความรู้จักกัน ก็ตามการออกงาน ในสถานที่ต่างๆ นี่ล่ะครับ   แต่ไม่เคยได้เจอหน้ากันที่โรงเรียนเลย  นั่นก็เป็นเรื่องที่แปลกแต่เป็นความจริง!

การห่างหายจากแป้นคีย์บอร์ดไปนาน ทำเอาผมนึกเรื่องที่จะเล่าไม่ออกเหมือนกัน   ดีที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ตอนก่อนที่จะเกิดกรณีที่ต้องพาแม่เข้าโรงพยาบาลแล้วว่าจะเล่าเรื่อง พัทยา  ก็เลยถือโอกาสนี้ เล่าอะไรเล็กน้อย เกี่ยวกับพัทยาให้ฟังกัน

และถ้า ม.ศรีปทุม ที่เพื่อนลาวของผมได้เล่าให้ฟังในตอนต้น คือแหล่งรวมของนักเรียนช่างชื่อดังในยุคนั้นแล้วไซร้  ผมก็ต้องขอบอกว่า พัทยาก็คือแหล่งรวมของนักเรียนช่างชื่อดังในทุกยุค ที่หมดโอกาสได้เรียนต่อในสายอาชีพตามที่เด็กช่างปกติทั่วไปควรจะได้เป็นเช่นกัน......

คืนวันลอยกระทงที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับคืนวันที่ 28 พฤศจิกายน สำหรับคนที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ คงมีกิจกรรมมากมายให้ได้ร่วมสนุกกัน  วัดไหนที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกับคู คลอง หรือแม่น้ำ ก็จะมีคนไปลอยกระทงกันมากหน่อย  ส่วนผมเมื่อมาทำมาหากินที่พัทยาแล้ว ไม่มีอะไรนอกจากซื้อกระทง เดินลงทะเลไป ใส่เงินลงในกระทงซัก 5 บาท พอให้เด็กที่รออยู่ไม่ห่างจากจุดที่ลอยได้เอาไปกินขนมกัน ก็ถือเป็นการให้ทานอีกประเภทหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นการขอขมาลาโทษต่อพระแม่คงคา ผู้เป็นดั่งแม่พระผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหลาย และเป็นดั่งสายเลือดเส้นใหญ่หล่อเลี้ยงมวลหมู่เรามาจนถึงทุกวันนี้

เสร็จจากลอยกระทง ผมถือโอกาสเดินตรงเข้าถนนคนเดิน หรือ Walking Street ในพัทยาใต้ ที่สองข้างเต็มไปด้วยบาร์โชว์มากมาย แต่ละที่ก็ประดับประดาไปด้วยกระทงใบใหญ่ที่ผ่านการประกวดมาแล้วในช่วงกลางวัน  บรรดากระเทย กระเทียม สาวแท้ สาวเทียม ทั้งหลาย ก็จัดชุดใหญ่ เต็มรูปแบบ เพื่อเรียกความสนใจ จากบรรดาแขกชาวต่างชาติที่เดินเบียดเสียดกันจนแน่นถนน    พัทยาวันนี้.....สาวรัสเซีย สาวยุโรปตะวันออก เป็นนางโชว์เต็มสองฝั่งถนน  สาวยุโรป ขายาว หน้าเหมือนตุ๊กตา ใส่จีสตริง เต้นรูดเสาโชว์ โชว์เร่าร้อน ทำเอาสาวไทยถูกเบียดเกือบตกขอบเวทีแล้วในปัจจุบัน  หากินกันยากมากขึ้น  มาเฟียจากเกาหลีใต้  จากอิตาลี  จากรัสเซีย จากเยอรมัน เข้ามาแผ่อิทธิพลในย่านนี้มากขี้นพอสมควร โดยเฉพาะพวกอิตาเลียน  มาเช่ากันเป็นหมู่บ้านเลย  ยกทั้งหมู่บ้านเลย เป็นชุมชนชาวอิตาเลียนเลย และแสบทุกตัวเลยครับพวกนี้

ส่วนตัวผมเอง ผมคลุกคลีอยู่กับพวกดัตช์ หรือในอดีต คือพวกฮอลันดา  คนพวกนี้เปรียบเสมือนคนจีนในฝั่งยุโรป ค้าขายเก่งเป็นอันดับต้นๆของโลก  ในสมองคนพวกนี้ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในการทำธุรกิจ  ขายได้ตั้งแต่คนเป็นยันคนตาย  ข้อแม้เดียวของพวกดัตช์คืออย่าทำตัวหมดประโยชน์  เพราะถ้าเมื่อใดหมดประโยชน์  ก็เตรียมตัวหาโลงใส่ตัวเองไว้ได้เลย

ในชีวิตผมโดนพวกดัตช์หลอกใช้มาก็หลายหน แต่ก็สั่งสอนพวกดัตช์มานับครั้งไม่ถ้วนเหมือนกัน อย่างที่ว่าไว้ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ในการทำธุรกิจ แม้จะซ่อนปืนไว้ข้างหลังคนละกระบอก แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มหลอกล่อกันอยู่ร่ำไป เมื่อใดหมดประโยชน์ต่อกันก็พิสูจน์กันว่าใครจะปืนไวกว่า ชีวิตก็แบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตของเรายังคงโลดแล่นอยู่ในเมืองที่ไม่เคยหลับไหลอย่าง พัทยา   ปัญหาอยู่ที่ว่า ผมก็ยังคงวนเวียนและไม่เคยหลุดพ้นวงโคจรนี้ซักที  

คืนวันลอยกระทงคืนนั้น ผมเดินตั้งแต่พัทยาเหนือยันพัทยาใต้ ย้อนไปย้อนมา เพื่อดูความเป็นไปของ พัทยา ดูความเป็นไปของผับบาร์ต่างๆ ดูความเป็นไปของสาวบาร์ทั้งหลาย  ดูความเป็นไปของผู้คนที่เดินเข้ามาและจากไป อยู่อย่างนั้น ไม่เคยหยุดนิ่ง  ผมเห็นมือดีมากมายหลายคนที่เคยตามหลังนักการเมือง พอเมื่อปลดระวาง ก็มาคุมผับบาร์ย่านนี้หลายคน  เช่นเดียวกัน ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่ๆที่กำลังโต ก็กระโดดเข้ามาสู่แวดวงสีเทานี้ ไม่เว้นแต่ละวัน  ไล่ตั้งแต่เด็กรับรถ เด็กเสิร์ฟ กัปตัน คนคุมบาร์ เด็กเดินยา ไปจนถึงนักเลงคุมบ่อน  คนมีประสบการณ์อย่างผม ทำได้แค่ประคองตัว ให้รอดพ้นจากภัยรอบด้าน และมีชีวิตอยู่อย่างในปัจจุบันนี้ ก็ต้องถือว่าบุญโขแล้ว

ในช่วงที่ผมลงทุนเปิดบาร์เอง ไม่เคยมีซักคืนเลยที่ผมจะนอนหลับโดยไม่ต้องสะดุ้งตื่น  ปัญหาสารพันตั้งแต่ โคโยตี้ตบกับดีเจ  แขกแย่งเด็กกัน แขกติดเด็กแต่เด็กไม่เล่นด้วย ร้านคู่แข่งส่งมือปืนเข้ามายิงขู่  นาย(ตำรวจ)โชว์บารมี และอีกสารพัดฯลฯ

คนที่ไม่เคยเข้ามาทำธุรกิจจริงจังในพัทยาอาจจะไม่เข้าใจ เมื่อใดที่คุณคิดจะก้าวเข้ามาที่นี่ ประตูสวรรค์จะเปิดรับคุณทันที แต่พอผ่านไปซักพักคุณจะเข้าใจได้ด้วยตัวเอง ว่าประตูสวรรค์ที่คุณเห็นในตอนแรก มันอาจไม่จริงและไม่ใช่อย่างที่คุณเห็น  ที่นี่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าคุณคุมตัวเองและคุมสถานการณ์รอบข้างไม่ได้  แม้แต่ขี้ยา ตัวเล็กๆ คนนึงก็สามารถฆ่าคุณได้สบายๆ โดยแทบจะไม่มีคนสนใจคุณเลย ทำได้แค่เป็นข่าวแล้วก็จางหายไป  แต่สิ่งที่คุณต้องรู้เอาไว้ก็คือ ไอ้ขี้ยาคนนั้น ไม่ได้ฆ่าคุณหรอก  แต่พัทยาต่างหาก ที่ฆ่าคุณตั้งแต่แรกพบแล้ว   

เมื่อตอนต้นปี ผมเคยส่งเพื่อนรักของผม อย่าง แมงวันแม่กลอง ให้มาอยู่ที่นี่ที่พัทยา  ผมขอร้องแกมบังคับให้เพื่อนรักของผม มาร่วมบุกเบิกธุรกิจที่นี่ด้วยกัน  แต่แม้ท้ายที่สุดแล้วเพื่อนผมเลือกที่จะขอไปอยู่ที่ นครสวรรค์ ก็ตามที   ผมก็ยังคงได้รับอานิสงค์จากการคุยงานกับเพื่อนรักของผมอยู่พอสมควร  และมันทำให้ผมยังยืนอยู่บนเวทีนี้ได้ อยู่ได้จนทุกวันนี้    

เมื่อตอนเช้า ผมได้เล่าเรื่องงานของผมเฉพาะเรื่องที่พอจะเล่าได้ให้เพื่อนลาวที่ผมเจอในวันนี้ฟัง  เพื่อนลาวของผมก็ให้ข้อคิดเห็นว่า เงินที่ไม่บริสุทธิ์ของผมอาจส่งผลต่ออาการป่วยของแม่ผม  และแม้ผมจะไม่เชื่อว่านั่นเป็นสาเหตุหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผม ยังคงติดกับดักคำพูดของเพื่อนผม และนำมาคิดซ้ำอยู่หลายครั้งแม้กระทั่งในขณะนี้

อ้อ...ผมเพิ่งนึกได้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ดูข่าวทางทีวี เกี่ยวกับกรณีนักเรียนอาชีวะ ทั้งที่ยกพวกตีกัน และทั้งที่ยิงกันตายในหลายกรณี และทุกๆครั้งที่เมื่อมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น จะที่ไหนก็แล้วแต่ ผมก็มักจะได้รับคำถามจากคนรอบข้างอยู่เสมอ และมักจะได้รับการประชดประชันประหนึ่งว่าเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดที่ผมต้องร่วมรับผิดชอบด้วย  บ้างก็ถามหาความรับผิดชอบว่า ผมจะแก้ปัญหาเด็กตีกันอย่างไร  ซึ่งผมก็เพิ่งจะเข้าใจว่าผมนั้นจำเป็นจะต้องร่วมรับผิดชอบต่อทุกๆเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องด้วยเด็กอาชีวะตีกัน  นั่นเพียงเพราะผมเคยเรียนอาชีวะมาก่อนเท่านั้นเอง

ก็ไม่แปลกที่คนรอบข้างผมจะพากันคิดแบบนั้น  และผมก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆไปห้ามไม่ให้พวกเค้าคิด   และเช่นเดียวกัน ผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้เด็กตีกัน และผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้เด็กยิงกัน   หรือแม้แต่ตัวผมเองเมื่อวันที่ยังเรียนอาชีวะ แม้ พ่อ-แม่ ของผมจะห้ามปรามอยู่ทุกวัน  ผมก็ยังไม่เคยฟังท่านเลย และไม่เคยคิดจะฟังใครทั้งสิ้น นอกจากตัวเองและเพื่อนเท่านั้น   ก็ช่วงชีวิตวัยรุ่น โดยเฉพาะชีวิตวัยรุ่นที่เลือกเดินเส้นทางสายอาชีวะมันเป็นของมันแบบนั้น และก็จะยังคงเป็นแบบนั้นต่อไป  ต่างกันก็แต่ยุคสมัยเท่านั้น   จนเมื่อวันนึงคือวันที่พวกเค้าทั้งหลายผ่านพ้นวัยมาแล้ว  พวกเค้าจะคิดได้เอง  แต่สำหรับพวกที่ไม่สามารถผ่านช่วงชีวิตนั้นมาได้ ผมก็ทำได้แค่แสดงความเสียใจเท่านั้น 

และสำหรับน้องๆที่ผ่านช่วงวัยอันตรายมาได้ แบบมีชนักติดหลัง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ หรือหันไปพึ่งพายาเสพติดแต่อย่างใด  เพราะนั่นไม่ใช่วันอวสานของโลกซักหน่อย  ตรงกันข้ามให้ภูมิใจได้เลยว่าครั้งหนึ่งเคยผ่านสมรภูมิชีวิตอาชีวะอันมีค่ามาแล้ว  ประสบการชีวิตที่ไม่สามารถหาเรียนได้ในห้องเรียนไหนๆ ประสบการพวกนี้ เหล่าหนอนหนังสือไม่มีวันจะได้สัมผัส   และก็ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่มีสถาบันไหนรับเข้าเรียนต่อ  หรือแม้แต่จะไม่มีบริษัทไหนรับเข้าทำงานก็ไม่ต้องกังวล  

ผมอยากให้ลองพิจารณา สถาบันนี้ดู เท่าที่ผมได้เห็นและได้เข้ามาสัมผัส  ก็ดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก  ที่นี่มีหลายสายวิชาให้ได้ศึกษา และเรียนรู้   ทั้งยังมีหลายอาชีพ  หลายสายงาน ให้ได้ทดลองทำพร้อมกับค่าตอบแทนที่ดี   อีกทั้ง ที่นี่ยังมีหลากหลายประสบการณ์ที่รอให้คนมาสัมผัส และค้นพบ  และที่สำคัญ ที่นี่ยังคงมีอีกหลากหลายคำถามและหลากหลายความเป็นจริงในชีวิตที่ยังคงรอให้คนอย่างเรามาค้นหาคำตอบ ที่นี่ ที่ผมเรียกมันว่า 

ช่างกลพัทยา  

 
สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี

จากใจ

เล็ก 207

 

*************************************************************************************************************************

ขอขอบคุณ เพื่อนลาวบุรณพนธ์  ที่ยังจำผมได้และทักทายกัน จนทำให้ผมมีแรงบันดาลใจในการกลับมาเขียนบทความ/เรื่องสั้น ให้พวกเราได้อ่านกันต่อไป

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องสั้นตอนที่ 7 : ของขลัง


เรื่องสั้นตอนที่ 7 :  ของขลัง
โดยเล็ก 207  วันที่  23.11.2555

 
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผมพอมีเวลาว่าง ก็เลยได้ตระเวนไปไหว้พระเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว  เดิมทีก็ตั้งใจจะไปกราบพระดังๆให้สมอยากทั้งสัปดาห์เลย  แต่ก็ดันมีอันต้องเปลี่ยนแผนเอานาทีสุดท้าย เพราะติดงานขึ้นมาซะอีก  สรุปก็เลยไปมาได้ 2 วัด  วัดแรกที่ไปก็เป็นวัดดอนหวาย ที่นครปฐม  ซึ่งในวัดนี้ก็จะมีตลาดดอนหวาย ตั้งอยู่ภายในด้วย ที่ตลาดมีขายทั้งพืช ผัก ผลไม้ ของฝาก แถมมีร้านอาหารติดแม่น้ำนครชัยศรีด้วย  ที่ร้านนี้ผมพารอบครัวไปนั่งทานอาหารเที่ยงกันพร้อมดูฝูงปลาสวายตัวโตๆ ที่อาศัยกันอยู่จนแน่นพื้นที่ จนแทบจะต้องแหวกหัวปลาเพื่อโยนขนมปังให้กินกันเลย   อ้อ..เกือบลืมไป ก่อนที่ผมจะเดินทางไปถึงวัดดอนหวาย ผมก็ได้แวะไปหาคุณต้น เซียนพระย่านเพชรเกษม เพื่อขอบูชา พระพญาเหล็กไหล พิมพ์หลวงพ่อหวล นั่งสมาธิลอยองค์ วัดพุทไธศวรรย์ ด้วย  ซึ่งก็ว่ากันว่า หลวงพ่อหวล วัดพุทไธศวรรย์ ท่านเรียนวิชาตัดเหล็กไหล มาจากศิษย์สาย หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ โดยท่านจะนำหุ่นขี้ผึ้ง รูปพระและรูปแบบอื่นๆไปทำพิธีเรียกเหล็กไหลตามถ้ำและขออนุญาตกับเทพยดาผู้รักษาเหล็กไหลนั้นๆ ว่าจะนำมาเพื่อประโยชน์ในพระพุทธศาสนา โดยมอบให้กับผู้ที่ทำบุญบูรณะวัดกับท่าน

โดยเหล็กไหลหรือที่ท่านให้เรียกว่า พญาเหล็ก นั้นจะมี 3 วรรณะ(สี) ตามประเภทขององค์เทพที่ปกปักรักษา คือ

1.สีเงินยวง เด่นด้านเมตตา มหานิยม เจริญรุ่งเรืองในชีวิต
2.สีปีกแมลงทับ(เจ้าน้ำเงิน) เด่นด้านมหาอำนาจ บารมี คงกะพัน มหาอุตม์
3.สีทอง (ท้องปลาไหล) เด่นด้านเงินทอง โชคลาภ โดยสีทองนี้จะมีน้อยสุดในการเรียกแต่ละครั้งครับ

องค์ที่ผมขอบูชาต่อมาจากเซียนต้น นั้นสีปีกแมลงทับครับและก็โชคดีที่พระองค์ที่ผมเช่าต่อมานั้น มีสีทองท้องปลาไหลเกิดขึ้นที่ด้านล่างขององค์พระด้วย ก็นับว่าโชคดีมากๆครับ

ส่วนวัดที่สองที่ผมได้มีโอกาสแวะไปสักการะคือ วัดศรีษะทอง วัดที่คนทั่วไปนิยมนำของดำ 8 ชนิด ไปไหว้เพื่อแก้ปีชงนั่นล่ะครับ  วัดนี้เด่นที่การสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปราหูอมจันทร์ครับ ก็เป็นการถือเคล็ดตามตำนานประวัติของราหูที่เป็นอมตะไม่รู้จักตาย ก็เนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไป ส่วนวัสดุที่จะนำมาใช้สร้างวัตถุมงคล ตามตำราว่าไว้ว่าต้องเป็น กะลามะพร้าวตาเดียวเท่านั้น ซึ่งเจ้ากะลามะพร้าวตาเดียวนั้นถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีฤทธิ์อยู่ในตัว แม้ไม่ปลุกเสกก็มีความศักดิ์สิทธิ์ และผมก็ไม่พลาดที่จะบูชากลับมาเก็บไว้ เก็บไว้ทั้งคุ้มครอง แก้เคล็ด และทั้งเพื่อเอาไว้กะเก็งอนาคตซักหน่อย แค่ 7-8 องค์เท่านั้นล่ะครับ ตามกำลังทรัพย์

ส่วนวัดที่ผมพลาดไปในสัปดาห์นี้ ก็มีวัดเขาดิน  วัดหนองกรับ วัดละหารไล่ และวัดละหารใหญ่ ครับ ก็ไม่เป็นไร เอาไว้โอกาสต่อไปเมื่อได้ไปสักการะ จะเอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ

และที่เห็นผมเข้าวัดไปกราบพระ เข้าวัดโน้นออกวัดนี้ นี่ไม่ได้หมายความว่าผมจะปลงตก ละสิ้นกิเลสแล้ว หรือหาทำเลเพื่อบวชเรียนอะไรหรอกนะครับ  ซักวันนึงคงจะใช่แต่ยังไม่ถึงเวลานั้น  แต่ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า นักเลงสมัยก่อน ทั้งรุ่นผม หรือก่อนหน้าผม รุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นปู่ ฯลฯ นักเลงทุกรุ่น ก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งของดีติดตัวเอาไว้ด้วยกันทั้งนั้น  เอาไว้ป้องกันภยันตรายใดๆอันอาจเกิดขึ้นได้จากการดำเนินชีวิต ที่ค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยง ลูกปืน ลูกกระสุน อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่ในปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อก่อน แถมยิ่งต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะสังขารผมไม่เหมือนก่อนแล้ว

ในสมัยเรียน ผมแอบเอา สมเด็จพุฒาจารย์โต ของคุณพ่อ ขึ้นคอ อยู่เป็นประจำ และก็มีประสบการณ์มากมายให้จดจำ  และผมก็เคยได้แชร์ประสบการณ์ให้ท่านทราบไปบ้างแล้วในตอนก่อนๆ  อย่างเช่น เรื่องที่เคยเล่าเอาไว้แล้ว ตอนช่วงที่ผมเริ่มหัดเป็นนักเรียนนักเลงใหม่ๆ  ก็ได้ตั้งแก๊งค์ โจรสลัดลาดพร้าว ขึ้นเพื่อก่อเหตุวิวาทและเกินเลยไปจนถึง ฉกชิงวิ่งราว  จี้ปล้น เอาทรัพย์สินจากชาวบ้านเค้า ทั้งนักเรียนอาชีวะด้วยกันเองไปจนถึงกลุ่มคนทำงาน    จนกระทั่งเมื่อผมข้ามฟากจากค่ายมีนบุรี ไปยังค่ายใหม่ที่บางนาแล้ว ผมก็ยังดำเนินชีวิตแบบเดิมอีก แถมจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แต่จนแล้วจนรอดผมก็แคล้วคลาด จากการนอนคุก นอนตะราง และแคล้วคลาดจากลูกกระสุนปืน ก็ด้วย สมเด็จฯท่านนี่ล่ะครับ

และถ้าไม่นับประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ  และประสบการณ์ตีรันฟันแทงรายวัน  ประสบการณ์ที่รอดจากการโดนยิงถล่มที่ตลาดแฮปปี้แลนด์  รวมถึงประสบการณ์ที่รอดจากคมมีดที่ร้านข้าวมันไก่ที่ย่านลาดพร้าวแล้ว ประสบการณ์ของสมเด็จโต ที่ผมได้เห็นเจ๋งๆเลย ก็คือวันที่ผมวิ่งหนีตำรวจกับทหาร จากกรณีการจี้สร้อยทอง เด็กช่างหน้าหมอชิต และก็วิ่งหนีไปจน จนตรอก แล้ว รอเพียงการใส่กุญแจมือเท่านั้น ก็ปรากฏว่า ทั้งตำรวจทั้งทหาร มองไม่เห็นผม ทั้งๆที่ผมก็ยืนอยู่ที่เดิม และยืนอยู่คนเดียวซะด้วย เหลือเชื่อมั๊ยล่ะครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ดวงโจรจริงๆผม

ส่วนเพื่อนๆของผม หลายคนก็มีของดีติดตัวด้วยกันทั้งนั้น  แต่ผมจะคุ้นเคยและมีโอกาสได้เห็นของดี ก็เฉพาะของเพื่อน ที่สนิทๆกันเท่านั้น  ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งค์ที่อยู่บ้านห่างกันออกไปอันนี้ผมก็ไม่เคยได้ถามไถ่ว่ามีของดีอะไรติดตัวกันบ้าง  เอาไว้ให้พวกเพื่อนซี้ผมทั้งหลาย ทั้ง โอ๋129”  ฟุ้ง129  เคเล็ก207 ปาน129 เจ้าชายกบ207 และ บังราม8  มาเล่าต่อกันเองนะครับ  ผมขอเล่าเฉพาะคนที่ผมมีโอกาสได้เห็นและคลุกคลีกันอยู่ทุกวัน อย่าง เก่งดำเนิน และ แมงวันแม่กลอง นะครับ ก็เนื่องจากข้อมูลแม่น จำได้ และง่ายแก่การเล่า

โดย เก่งดำเนิน ตอนเรียนอยู่ด้วยกัน เก่งดำเนินห้อย พระหลวงพ่อเขาแดง และประสบการณ์ส่วนใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ร่วมที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับผมและเพื่อนๆในกลุ่ม 207 ค่ำ  ตามที่เคยได้เล่ามาแล้วทั้งสิ้น   แต่จะมีที่เพิ่มเติมออกมาโดยที่ผมไม่ได้อยู่ด้วย  ก็วันที่ โจ้ตะวันรุ่ง  เก่งดำเนิน และแมงวันแม่กลอง กำลังจะเดินทางไปขึ้นศาลที่ตั้งอยู่ย่านสนามหลวง ในคดีที่เจ้าชายกบ เลาะหนังหน้าคู่กรณีที่ตลาดแฮปปี้แลนด์ล่ะครับ  เป็นช่วงเช้าวันจันทร์ ที่บรรดาBU207ค่ำ  เพื่อนทั้ง3คนของผมเดินออกจากซอยลาดพร้าว 38 เพื่อจะขึ้นรถเมล์ไปสนามหลวง....

ระหว่างเดินออกจากซอย ก็ปรากฏว่า เพื่อนต่างสถาบันแต่พักอาศัยอยู่ใกล้กันอย่างอินทรซอยลาดพร้าว 42 บ้านไกล้เรือนเคียงกัน โหนรถเมล์ผ่านมาพอดี ก็จ๊ะกันพอดี เพื่อนอินทรของผมก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ควักปืนจ่อยิงทันที ก็ปรากฏว่าบรรดาเพื่อนๆของผมโดนก็ไป 2 แชะ ครับ ดัง แชะ แชะ  ก็ต้องบอกว่าโชคดีครับ  เพราะถ้าวันนั้นไม่แชะ แต่เป็น โป้ง โป้ง แทน นี่กะโหลกกระจุยแน่ครับ เพราะระยะมันใกล้มากยิงไม่น่าพลาด  แต่ก็ว่าไปแล้ว งานนี้ก็สามารถมองกันได้ทั้ง2แบบนะครับ  ถ้าในมุมของผู้ถูกยิงอย่างกลุ่มเพื่อนผม ก็ต้องบอกว่า ได้ของดีช่วย ปืนถึงยิงไม่ออก ตั้ง 2 ครั้ง (หรืออาจจะมากกว่านั้นแต่พวกเค้าไม่ได้ยิน)  หรือถ้าจะมองให้เป็นวิทยาศาสตร์หน่อยก็เป็นไปได้ว่า เพื่อนอินทรซอย 42 อาจจะไม่ได้ใส่กระสุน แค่ยิงขู่เท่านั้น เหมือนหยอกกันเล่น เพราะต้องบอกกันก่อน ว่า ทั้ง BU207 ค่ำ และ อินทรซอย 42 นั้นอยู่ห่างกันเพียงแค่ 2 ซอยเท่านั้นเองครับ และโคจรมาเจอกันบ้างถ้าเราตื่นเช้า  แต่ก็ไม่เคยเลย ที่จะมีใครบาดเจ็บในการเจอกันแต่ละครั้ง ย้ำเลยนะครับ ไม่มีใครบาดเจ็บเลยในการเจอกันแต่ละครั้ง  เว้นแต่วันที่อินทร รวมกันมา ที่ตลาดแฮปปี้แลนด์ อันนี้ผมและเพื่อนโดนยิงจริงครับ และน่าจะโดนกันหมดแม็กซ์เลยเพราะหนีไม่ทันครับ เดี๋ยวค่อยวกกลับมาเรื่องนี้ต่อ ตอนนี้เอาเป็นกรณีๆไปก่อน  สรุปว่า เป็นไปได้ว่า วันนั้น

1.เพื่อนอินทรซอย42 อาจจะไม่ได้บรรจุกระสุน หรือ

2.เป็นไปได้ว่ากระสุนอาจจะชื้น กอปรกับเป็นปืนไทยประดิษฐ์จึงเกิดการดพลาดได้ หรือไม่ก็

3.ตามที่เพื่อนผมว่า ได้ของดีคุ้มครอง  อันนี้ทิ้งไว้ให้ท่านทั้งหลาย เป็นผู้ตัดสิน

ส่วน แมงวันแม่กลอง นั้นห้อย หลวงพ่อคงวัดบางกะพ้อมครับ ประสบการณ์เดียวกันเลยครับ ทุกเหตุการณ์  แต่เหตุการณ์ที่แมงวันแม่กลองเพื่อนผม จดจำได้ดีและเชื่อว่าเป็นประสบการณ์ของครูบาอาจารย์คุ้มครอง ก็มีสองสามเหตุการณ์ครับ ทั้งที่ร้านข้าวมันไก่ รวมถึงที่พวกเราโดนยิงหมดแม็กซ์ที่ตลาดแฮปปี้แลนด์  ซึ่งจะว่าไปก็เหลือเชื่อครับ  เพื่อนอินทร ที่เป็นคนลงมือยิงวันนั้นก็น่าจะคิดเช่นเดียวกัน ถ้าในวันนี้ได้รู้ว่าวันนั้นมือยิง ได้โอกาสยิงเต็มที่ แต่กลับไม่โดนใครเลยทั้งที่มันห่างกันไม่ถึง 10 เมตร และที่สำคัญ กลุ่มผมที่ยืนเป็นเป้ากระสุนนั้น มีตั้ง 5 คน ซึ่งน่าจะมีซักคนที่โดน  ทั้งแพ็ทบูรณ์   ป้อ101  เก่งดำเนิน  แมงวันแม่กลอง และผม เล็ก 207  ในขณะที่รถกระบะ Mitsubishi สีแดงของชาวบ้านแถวนั้น จอดอยู่ด้านหลังโดนกระสุนเต็มๆทุกนัด รูกระสุนเจาะเต็มคันเลย  

จะว่าไปแล้วเหตุการณ์นี้ก็ประหลาดดีครับ  จนท้ายที่สุดตำรวจ สน.ลาดพร้าว ก็มา  ส่วนคนยิงวิ่งหนีไปได้  แต่ตำรวจก็ตามล็อคเด็กอินทรมาได้ 1 คน จากการช่วยเหลือของคิวรถเมล์ 207 และจับเอาผม แมงวันแม่กลอง และ BU207 อีกคน ไม่แน่ใจว่าใคร ใช่ เคเล็กหรือเปล่าผมจำไม่ได้ ขึ้นหลังกระบะไปด้วย  ทีนี้เพื่อนอินทรของผมก็แย่น่ะซิครับ  โดน แมงวัน207 ตะคอกใส่จนหน้าเสียเลย มึงยิงกูเหรอ?” พร้อมถอดรองเท้าตบหน้าไปหลายที  เพื่อนอินทร ก็ปฏิเสธตลอดว่า เปล่าครับพี่ ผมเปล่ายิง ไอ้ผมก็ได้แต่นั่งขำ ไม่ได้โกรธอะไรเพื่อนต่างสถาบันหรอกครับ เพราะที่ 207 เราเจอคนทยอยมาลองของกันทุกวัน จนชินแล้ว   สนุกซะอีก ถือเป็นประสบการณ์  แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปวันนั้น  ตอนนั่งอยู่หลังกระบะรถตำรวจ  เมื่อตำรวจจับพวกเรามานั่งด้วยกัน  ทั้งเด็กอินทรคนนั้นและกลุ่ม BU207   นั่งกันแบบหน้าชนหน้า  หรือที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Face-to-Face นี่  บุรณพนธ์ของเราดูเถื่อนกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยครับ(ฮา)   

ก็จัดว่าเป็นประสบการณ์คลาดแคล้วที่สนุกไม่เบาครับ  เร้าใจดี แต่ท้ายที่สุด หลวงพ่อคงวัดบางกระพ้อมของแมงวันแม่กลอง ก็เป็นอันหมดหน้าที่ เมื่อเกิดเหตุชุลมุนที่ลาดพร้าว ซอย 1!

ที่ลาดพร้าวซอย 1 ระหว่างที่พวกเราโหนรถกลับออกมาจากเซ็นทรัล  กะว่าจะกลับไปพี๊เนื้อในซอยลาดพร้าว 38 ต่อ  เพราะในวันนั้นเรามีแขกมาด้วยครับ เรามี ปานจากสาย129  และมี ทร อยุธยารอบเช้า  มากับพวกเราด้วย เมื่อรถเมล์วนมาถึงเส้นลาดพร้าว ตรงปากซอยลาดพร้าวซอย 1 ก็บังเอิญเจอกับกลุ่มศิลปกรรมพอดี และก็เป็น ซูลู207 ที่โหนอยู่ด้านนอก กระโดดลงไปปล่อยหมัดก่อน จนเด็กศิลปกรรมทรุดลงไปกองผมจึงเข้าไปซ้ำที่ปลายคางจนเพื่อนต่างสถาบันนั้นหลับไป แมงวันแม่กลอง กับเก่งดำเนิน ก็ลงมาแลกหมัดกับศิลปกรรมและระหว่างชุลมุนนี่เอง หลวงพ่อคงวัดบางกระพ้อมของแมงวันก็หลุดจากคอไป  เป็นอันต้องปลดระวางอย่างเป็นทางการของหลวงพ่อคงวัดบางกระพ้อมต่อเพื่อนผม แมงวันแม่กลองนับแต่วันนั้น    ในงานเดียวกัน ปาน129และ ทรอยุธยาก็เกมส์ครับ เมื่อมีสายตรวจจาก สน.พหลโยธิน ขับมอเตอร์ไซค์มาเจอพอดี และล็อคเพื่อนผมสองคนนี้ได้ สุดท้ายลงเอยโดนปรับไป 2000 บาท 

อ้อ...เกือบลืมครับ มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่เล่าไม่ได้เพราะเป็นดั่งโลโก้ของ BU207 เมื่อทุกๆครั้งที่เราเล่นงานคู่ต่อสู้จนไม่ได้สติ ก็จะเป็นปกตินะครับ  ที่เพื่อนรักของผม เจ้าชายกบ จะทำหน้าที่เก็บงานด้วยสันดานเดิมครับ  และครั้งนี้ ไอ้เจ้าชายกบ ก็หยิบเก้าอี้จากร้านอาหารตามสั่งที่ป้ายรถเมล์นั้น ฟาดลงไปกลางกบาลเลือดนองอีกเช่นเคยครับ เป็นอันเอวังครับ

เอ้า...เกือบลืมบอก ทุกท่านไปอีกข้อ ในปัจจุบัน แมงวันแม่กลองได้เชิญหลวงพ่อวัดบ้านแหลมขึ้นคอแทนอย่างเป็นทางการแล้ว แทนหลวงพ่อคงวัดบางกะพ้อมที่สูญหายไปจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้วนะครับ

แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นแฟนๆผมที่เข้ามาอ่านกันก็อย่าคิดว่า มีของดีแล้วคุณพระคุณเจ้าท่านจะคุ้มครองเราได้ตลอดจนเกิดความประมาทในการใช้ชีวิตนะครับ  ดูอย่างเพื่อนผม เก่งดำเนิน ผ่านประสบการณ์ร่วมกันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว  ท่านดูกันซิครับ  เมื่อวันที่จบจาก BU ออกไปแล้ว  เตี่ยของเก่งดำเนิน ก็ยังให้ หลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐ มาขึ้นคอเพิ่มอีกองค์  รวมเป็น 4-5 องค์อยู่บนคอ ก็ยังเอาไม่อยู่เลยครับ  เมื่อถึงคราว แค่นั่งรถ และก็มีคนขับให้เพื่อความปลอดภัยแล้ว  ก็ยังประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตเลยครับ  เตี่ยของเก่งดำเนินเสียใจมาก ถึงกับสบถออกมาว่า พระทั้งคอ ยังช่วยลูกกูไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้กูจะเชื่ออะไรดี

ครับ....คนเราเมื่อถึงคราวต้องไป  พระดีแค่ไหน ก็คงช่วยไม่ได้จริงๆครับ  และเมื่อเล่าถึงเพื่อนรักของผม ผมก็ขอแสดงความเสียใจ ต่อ เตี่ย แม่ และลูกแก้ว เมียขวัญของ เก่งดำเนิน เพื่อนรักของผมอีกซักครั้งนะครับ “”””””””

ตามสไตล์ของผม ไอ้ครั้นจะเล่าโดยไม่ได้ทิ้งอะไรให้ท่านเอาไปใช้ได้ต่อ ก็ดูจะไม่ใช่ตัวตนของผม ว่าแล้วเรามาลองตรวจสอบกันดูดีกว่ามั๊ยครับว่า เครื่องรางของขลังต่างๆที่พวกเราต่างหามาเพื่อไว้คุ้มครองภยันตรายต่างๆ นี่มันมีมานานแค่ไหนแล้ว!

********************************************************************************

......เท่าที่ผมพอจะหาข้อมูลมาได้ จริง ๆ แล้ว เครื่องรางของขลังนั้นมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล ครั้งที่พระองค์ซึ่งหมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ทรงประทานเส้นพระเกศาให้พ่อค้าสองพี่น้องที่เป็นอุบาสกคู่แรกในโลกได้นำไปบูชา นั่นก็เป็นของขลังเหมือนกัน สิ่งที่เป็นเครื่องรางของขลังนั้นเปรียบเสมือนของที่เป็นตัวแทนบุคคลที่เราเคารพบูชา ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อระลึกนึกถึงคุณความดีของบุคคลนั้น ๆ ปัจจุบันนี้คนเราสร้างพระเครื่องของขลังขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน แต่เรามักลืมนึกถึงคุณความดีของเครื่องรางของขลังอันนั้น ถึงแม้จะเป็นของจริงของแท้ก็ตาม แต่ถ้าเราไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อระลึกนึกถึงคุณความดีและกระทำความดีด้วย ของแท้ก็อาจจะไม่แท้ ของขลังก็อาจไม่ขลังได้  ดังมีเรื่องเล่าของเครื่องรางของขลังเอาไว้ให้ได้คิดกันว่า.....

ในสมัยที่ไทยยังรบกับพม่า ซึ่งสมัยนั้นเป็นธรรมเนียมว่า.. ก่อนที่จะออกรบทำศึก พวกทหารก็มักจะไปวัด ไปหาหลวงพ่อวัดดังๆทั้งหลายในยุคนั้นๆ ก็เพื่อทำการลงยันต์บ้าง  ขอเครื่องรางของขลังเพื่อเป็น ศิริมงคลป้องกันภัยในการออกรบบ้าง ซึ่งพระท่านก็จะทำพิธีปลุกเสกให้ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตให้ทหารเข้มแข็ง  ในวันออกรบวันนั้นปรากฏว่า..ทหารไทยมีจำนวนน้อยกว่าทหารพม่ามาก จึงพากันถอยทัพไปก่อน  แต่มีนายทหารคนหนึ่งซึ่งหนีไม่ทัน ตกอยู่ในภายใต้ข้าศึก ที่ล้อมรอบตัวเขากว่าร้อยนาย  เขาเหลียวดูศัตรูที่แวดล้อมตนก็หวั่นๆใจ แต่เหลือบไปเห็นตะกรุดที่ห้อยอยู่ที่คอของตน ก็ให้มีกำลังขึ้นมา  นึกถึงพรที่หลวงพ่อให้มาก่อนออกรบ  และเชื่อว่าสิ่งนี้นี่แหละจะช่วยให้รอดพ้นจากศัตรูได้  เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็วางดาบจับตะกรุดประนมมือขึ้นเหนือเศียรพร้อมปรารถนาว่า ขอให้คุณแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณหลวงพ่อ พระคุณคุณพ่อคุณแม่ ช่วยลูกแก้วด้วยเทอญ โอมเพี้ยง..  แล้วจับดาบลุกขึ้นสู้ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว

                แต่ในขณะสู้กันอย่างโกลาหลนั้น เขาก็พลาดท่าล้มลงข้างคันนา เพราะถูกฟันเข้าให้หนึ่งครั้ง ทำให้ตะกรุดที่ห้อยในคอหลุดไป  เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่เขาก็ยังจะสู้ให้ถึงที่สุด เขารู้ว่าตะกรุดหลุดจากคอจึงพยายามควานหาว่าอยู่ไหน  ในที่สุดก็หาพบ เขาจับเข้าปากอมไว้เพราะกลัวจะหลุดอีกหายอีก เขาสู้ต่อแต่ปรากฏว่า สิ่งที่อมไว้ในปากนั้นรู้สึกว่าจะกระตุกขึ้นเป็นระยะ เขารู้สึกว่าตะกรุดกำลังสำแดงฤทธิ์แล้ว หรือที่เราเข้าใจกันว่า ของขึ้น


                ด้วยความศรัทธาในตะกรุดเขาจึงสู้อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช มีใจห้าวหาญไม่กลัวอันตรายใดๆ  จนในที่สุดเขาก็สังหารฝ่ายข้าศึกไปได้หมด โดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย เขาอุทานขึ้น เดชะบุญแห่งตะกรุดของหลวงพ่อแท้ ๆ ที่ช่วยชีวิตเราไว้ ไม่งั้นเราก็คงจะหามีชีวิตไม่ พูดจบก็คลายเอาตะกรุดที่อมอยู่ในปากของเขาออกมา  แต่โอ้..อนิจจา..คุณพระช่วย ตะกรุดนั้นกลับกลายเป็นเขียดน้อยไปซะนิ  เขายังงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปได้อย่างไร


เขานั่งคิดไปคิดมา จนนึกได้ว่า ตอนที่ถูกฟันล้มลงนั้นตะกรุดได้หลุดคอไปแล้วตนเองก็คงคว้าเอาเขียดน้อยเข้าปากไปแทน  คงเพราะรีบสู้ต่อจึงไม่ได้ดูว่าเป็นอะไร แต่เขาก็เชื่อว่าเขียดน้อยนั้นเป็นตะกรุด โดยเฉพาะตอนที่เขียดมันดิ้น แด่ว ๆ ก็คิดว่า ของขึ้นแล้วโว้ย ทำให้ใจฮึดสู้ จนชนะในที่สุด .


นี่แหล่ะครับ ความเชื่อและความศรัทธาเป็นสิ่งที่มีพลังมากกว่าวัตถุใด ๆ  ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรางของขลังใด ๆ ก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่มีความเชื่อศรัทธาในสิ่งที่เราเชื่อหรือในคุณความดีที่มี ก็คงไม่ช่วยอะไรเราได้มากนัก ถึงแม้จะเป็นของดีจากพระเกจิอาจารย์ดัง ๆ ใด ๆ ก็คงไม่ขลัง  แต่ถ้ามีความเชื่อศรัทธาในคุณความดีของพระรัตนตรัย ศรัทธาคุณของคุณครูบาอาจารย์ หรือคุณของพ่อแม่เสียแล้ว แม้ว่าวัตถุที่เราถือครองนั้นจะเป็นของแท้หรือไม่แท้ตามเถิด สิ่งนั้นก็จะกลับกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกัน เฉกเช่นเดียวกันเจ้าเขียดน้อย ฉันใดก็ฉันนั้น.. ที่สุดขอทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่ว่า

 

 เครื่องรางของขลัง..ฤาจะสู้พลังศรัทธา จงเชื่อในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่เชื่อ

 เพียงเท่านั้นปาฏิหาย์ก็เกิดแล้ว.......แล้วพวกคุณล่ะ เชื่อในสิ่งที่ทำแล้วหรือยัง?

 

สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี

จากใจ
เล็ก 207

 

    อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น

 

*************************************************************************************************************************
ขอขอบพระคุณ ข้อมูลจาก แมงวันแม่กลอง  และมหาน้อย...ศิษย์พ่อโต ครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า ตอนที่ 6 - Knockin On Heaven’s Door

Knockin On Heavens Door
โดย เล็ก 207 16.11.2555

 
ผ่านเรื่องราวตึงเครียดจากเรื่องเล่าของผมมากันก็ตั้งหลายตอนแล้ว  คราวนี้เรามาคุยกันเรื่องทั่วไป มั่งดีกว่ามั้ยครับ เอาแบบทั่วไปจริงๆ เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น ไม่ตีกรอบ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้เรารู้จักตัวตนกันมากขึ้นกว่าเดิมซักหน่อย  ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในมายาภาษาของผมจนถลำลึกกันจนเกินไป  เราลองมาคุยเรื่องเล่าเก่าๆของคนแก่ๆ ในแบบเวอร์ชั่น แบบสบายๆ แต่ได้แง่คิดกันบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ไม่เครียดกันจนเกินไป

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์ชายปิ๊ บุรณพนธ์รอบเช้า ที่เคยร่วมดื่มกินกันมาในวันนัดรวมพลครั้งก่อน ได้โทรหาผม พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อนเก่า อย่าง บังมัด บัวขาว ทำให้ผมสามารถต่อยอดไปจนได้เบอร์ เต้ปัฐวิกรณ์ มาด้วย ก็ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ที่อุตส่าห์ช่วยเป็นธุระไปหาเบอร์โทรของเพื่อนเก่ามาให้ผมจนได้  และด้วยความดีใจ ผมก็โทรหาเพื่อนทั้งสองคนในวันถัดไปและนัดกัน ในที่สุดก็ได้เจอกัน  ทราบว่าลูกเพื่อนตอนนี้จบอาชีวะกันหมดแล้ว ก็ทั้งดีใจทั้งใจหาย ไม่นึกว่าวันนึงตัวเองจะแก่ได้ขนาดนี้ !

เพื่อนเต้ของผมในวันนี้ ยังตัวใหญ่ขาโก่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ใส่แว่นตาดำ เหมือนสมัยเรียนบุรณพนธ์ หากแต่ที่ไม่คุ้นเคยก็คือกางเกงยีนส์ลีวาย 501 ตัวเก่งที่เคยใส่ประจำมาถึงตอนนี้แม้แต่ขาก็ยัดไม่เข้าแล้ว เพื่อนเต้ของผมออกจะท้วมขึ้นเล็กน้อยจนถึงปานกลาง  เพื่อนเต้ในวันเก่าๆมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง รู้สึกว่าผมจะเคยเล่าเล็กน้อยไปแล้ว ในตอนก่อนๆ  ความสนิทของผมกับเพื่อนเต้นั้น นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็ยังทำงานด้วยกัน ชอบคล้ายๆกัน ทำธุรกิจเล็กๆด้วยกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือ เพื่อนเต้ ไม่ดื่มเหล้า ส่วนผมนั้นดื่มชนิดที่เรียกว่า ผลาญ   ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดในชีวิตการทำงานบริษัทฯของผม  ผมเคยโดนเจ้าของบริษัทฯเรียกให้เข้าไปชี้แจงกรณีบิลค่าเหล้า (เหล้าอย่างเดียวนะครับ) เป็นบิลค่าเหล้าที่สั่งซื้อจากห้างโมเดิร์นเทรดทั่วไป ทุกเดือน เพื่อเก็บไว้เลี้ยงดูปูเสื่อลูกค้า 1 ปี มียอดสูงรวมถึง 1 ล้านบาททีเดียว เฉลี่ยเดือนละเกือบแสนบาท  นี่ยังไม่นับรวมค่าเปิดขวด ค่ากับแกล้ม ค่าโคโยตี้ ค่าพีอาร์ ค่าอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด ฯลฯ ผมจึงจำกัดความตัวเองว่าดื่มแบบพวกล้างผลาญ

เอ้าต่อนะครับ....เพื่อนเต้นั้นไม่ดื่มเหล้า   แต่ที่เพื่อนเต้นั้นถือว่า เซียนมากๆ คือเรื่อง จีบหญิงและก็เพราะเรื่องนี้แหละ ผมและสหาย 207 เคยต้องออกแรงช่วยเพื่อนเต้ถึงสองครั้งสองหน  ตัวอย่างนึงก็คือ เพื่อนเต้ นั้นมีแฟนเรียนที่พาณิชยการธัชรินทร์ และต้องไปรับแฟนตอนโรงเรียนเลิกช่วง 3 ทุ่มกว่าๆทุกวัน  และเพื่อนก็ฉายเดี่ยวตลอด จนโดนกลุ่มเด็กธัชรินทร์รอบค่ำกลุ่มใหญ่ ดักรุมกระทืบและก็เกือบเสียฟอร์มหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ด้วยความรักครับ ฝ่าดงตีนไปรับแฟนก็ยอมว่างั้นเถอะ  จนท้ายที่สุดเพื่อนเต้ก็มาปรึกษากับกลุ่ม 207 ขอให้ช่วยชำระแค้นให้ และก็แน่นอนล่ะครับ เรื่องแบบนี้คนก็มักจะโยนกันเข้ามาที่ 207 ซึ่งพวกเราก็จัดให้ไม่เคยขาด งานนี้จัดให้ที่ป้ายรถเมล์ซอยลาดพร้าว 48 หน้าโรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์ ผมจะไม่เล่าเรื่องสภาพเหยื่อนะครับ เพราะวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องเบาๆสบายๆเดี๋ยวจะเสียบรรยากาศ...

อ้อ.... ระหว่างผมกำลังพิมพิ์เรื่องเล่าในตอนนี้อยู่ (ผมเขียนเรื่องเล่าตอนนี้ในวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2555 เวลา 20.30น.) ก็พอดีเพื่อน ฉ่อย ช.ก. 56  ประธานกลุ่ม Gold Gear Club ก็โทรเข้ามาพอดี บอกว่าเพิ่งกลับจากไปค่ายอาสา พอ.สว.ที่ จ.น่าน มา  ก็พอดีอีกที่นั่งดื่มอยู่กับรุ่นน้องที่ช่างมีนฯ ซึ่งกำลังเรียน ปวส อิเล็คฯ ปีสุดท้ายอยู่และรู้จักผม เล็ก207 ผ่านบอร์ดของน้องวัจน์ BU20 แห่งนี้ด้วย   เอ้า!ก็ขอต้อนรับเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น ณ โอกาสนี้ก็แล้วกันนะครับ  และผมก็อยากใช้โอกาสเดียวกันนี้ขอโมทนาสาธุกับกิจกรรมดีๆเพื่อสังคมที่เพื่อนผมและสมาชิก Gold Gear Club ทุกท่านได้ทำกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนะครับ บุญกุศลอันใดที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมสร้างกันก็ขอให้ส่งผลถึงตัวท่านและครอบครัวตลอดจนคนที่ท่านรักนะครับ  สำคัญที่สุดการออกค่ายอาสาครั้งนี้ก็ไปกับกลุ่ม U-Navigator ของศิษย์เก่าอุเทนถวายซะด้วย เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างกันและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่รุ่นน้องๆ ก็หวังว่ารุ่นน้องๆของทั้งสองสถาบันถ้าได้มีโอกาสเข้ามาอ่านก็ลองตั้งสติซักนิด  และคิดพิจารณาเอาตามสติปัญญานะครับ ผมไม่แม้แต่จะคิดชี้นำท่าน ท่านก็คิดกันเอาเองนะครับ

ว่ากันต่อ...   ทีนี้ก็วกกลับมาที่ตัวผมบ้าง เพราะบอกแล้วว่าจะเล่าเพื่อให้เรารู้จักกันมากขึ้น ก็ควรจะรู้จักกันทุกแง่มุมไปเลย   ย้อนไปในวันเก่าๆ ชีวิตผมนั้นมีหลากหลายแง่มุม โลดแล่น ได้แบบใครๆก็คาดไม่ถึง  ถึงผมจะเรียนที่บุรณพนธ์ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารไปเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองถึงมาบุญครองโน่นแน่ะ  ร้านผมตั้งอยู่บนชั้น 3 ฝั่งไทม์สแคว์ ซึ่งในยุคนั้น ใครมีร้านเสื้อผ้ามือสองอยู่มาบุญครอง ต้องถือว่าสุดยอดแล้ว  ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นการทำธุรกิจ ก็แค่อยากขายผ้า เท่ห์ๆ และก็สนุกกับการได้ดื่มกิน หลังปิดร้าน กับเพื่อนฝูงที่รู้หน้ารู้ใจ และเพื่อนฝูงที่ไม่รู้หน้าแต่รู้ใจ

ในช่วงท้ายๆของชีวิตอาชีวะ ผมก็ได้ขยายร้านเสื้อผ้ามือสองของผม จากจตุจักร ไปมาบุญครอง จากมาบุญครองไปจนถึงอิมพิเรียลเวิล์ด ที่สำโรง โดยช่วงนี้เองที่ผมเริ่มแยกตัวไม่ได้ขึ้นรถ 207 แล้ว แต่ใช้วิธีขี่ช็อปเปอร์ตามเพื่อนที่ขึ้นรถ 207 แทน   บ่อยครั้งที่ผมเมาหลับร่วงอยู่ข้างๆช็อปเปอร์แต่ก็ไม่มีใครมาขโมยช็อปเปอร์ของผม เว้นซะแต่หมาจะมาเยี่ยวใส่ แต่นั่นก็เป็นปกติของผม 

ในช่วงนั้น เพื่อนที่บุรณพนธ์หลายคน ก็เคยได้ร่วมดื่มกินกับผมที่หลังจตุจักร หลังผมปิดร้านแล้ว บรรยากาศคงไม่ต้องบรรยาย แมงวันแม่กลองก็ยังคงรำลึกถึงวันชื่นคืนสุขอยู่บ่อยครั้ง และบางคนก็ได้ร่วมดื่มกินกันที่ร้าน 1950 ที่มาบุญครองในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  ซึ่งผมจะอยู่ที่ร้านมาบุญครอง    ก็มีอยู่ครั้งที่ผมพาเพื่อนบุรณพนธ์ไปกินเหล้ากันที่ร้าน 1950 ที่มาบุญครอง จนลูกค้าโต๊ะอื่นลุกหนีกันไปหมด เพราะนักดนตรีก็เล่นดนตรีไม่ได้  ก็เก่งดำเนิน เล่นร้องเพลง BU ซะดังลั่นร้าน ในขณะที่วงดนตรีเล่นเพลงสากลยุคปี 80  แน่นอนว่ามันสร้างความโกลาหล ได้พอสมควร  จนมีคำพูดค่อนขอดถึงพวกเราจากบรรดาพ่อค้า-แม่ค้าที่มาบุญครองในโซนเดียวกันว่า บุรณพนธ์ไปที่ไหนก็บรรลัยที่นั่นก็เห็นจะจริง

คนในยุคเดียวกันกับผม หรือ บวก/ลบ 5 ปี คงจะทัน Cobongo Pub, Blue Jeans, Saxophone และ Rock Pub  ซึ่งเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผมเองก็ตระเวนกินดื่มอยู่ย่านนี้เป็นประจำ  ใช้ช็อปเปอร์ของผมเป็นตัวหลอก  สับขาหลอก  ขาไปก็ให้เพื่อนซ้อน ขากลับก็ถีบเพื่อนลง เป็นแบบนี้อยู่ประจำ ส่วนจะทำไมยังไง  ก็ต้องขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ นะครับท่านคิดกันเองได้ /    ชีวิตผมช่วงจันทร์-ศุกร์ ก็จะคลุกอยู่กับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน ไปไหนไปกัน สนุก เมา มันส์ เป็นแบบนี้ทุกวัน  โปรแกรมการตีรันฟันแทง ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมบันเทิงของพวกเรา 

ส่วนเสาร์-อาทิตย์  ผมก็จะมีอีกชีวิตนึงเป็นพ่อค้าผ้ามือสอง  อยู่ที่จตุจักร มาบุญครอง และอิมพีเรียลสำโรง ตามแต่ว่าวันไหนอยากจะเข้าร้านไหน  ในช่วงที่เราขายผ้าอยู่มาบุญครองก็มีไม่ถูกกับกลุ่มของมอริสเค  ซึ่งมีเด็กอุเทนถวาย  เด็กศรีปทุมฯ รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย  แต่ส่วนตัวแล้วเวลาผมอยู่ร้านก็ไม่เคยมีปัญหากันนะครับ แต่เวลาไม่อยู่ร้านทีไร ไอ้เจ้าชายกบ ก็มักจะมาเล่าว่ามีเรื่องกับกลุ่มมอริสเคเป็นประจำ ซึ่งเมื่อผมไปถึงร้าน  ก็จะเดินไปที่ร้านของเด็กกลุ่มนี้เพื่อดูปฏิกิริยาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร  ไอ้ครั้นจะเข้าไปหาเรื่องเค้าเลยมันก็ไม่ได้ พ่อค้าด้วยกัน แค่เดินไปพวกเค้าส่งยิ้มมามันก็ต้องจบแล้วครับ แถมกลุ่มนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกับ ไอ้แหลมราม 2 เด็กบุรณพนธ์ เพื่อนซี้ของผมอีกต่างหาก ก็ไม่มีอะไรครับ เล่าเอาไว้เป็นบันทึกครับ เผื่อมีการอ้างถึงกันในอนาคต

และถ้าผมจะพูดถึงยุคสมัยโดยที่ไม่ได้มีอะไรมาอ้างอิงให้ได้เทียบเคียงก็ดูจะสะเปะสะปะไปหน่อย  ดังนั้นผมจึงขออนุญาติพูดถึงยุคของผม โดยใช้เพลงเป็นตัวเทียบยุคก็แล้วกันนะครับ เป็นสากลดี  ในยุคนั้นก็มีเพลงดังแห่งยุคอยู่มากมายหลายร้อยเพลง แต่เพลงไทยที่จัดเป็นเพลงไม้ตายที่กลุ่ม BU207 รอบค่ำยึดเอาไว้เป็นเพลงเก่ง ในการร้องโชว์สาว ขาล่องรถกลับจากวัดศรีเอี่ยมไปแฮปปี้แลนด์ ก็คือเพลง สัญญาหน้าฝนของวงคาราบาว   ซึ่งหลายต่อหลายครั้งมันได้ผลดีทีเดียว  เพื่อนสายอื่นที่เรียนทันรุ่นกัน ก็คงเคยได้ร่วมร้องเพลงดังแห่งยุคเพลงนี้พร้อมกันกับผมและเพื่อนมาแล้ว   ส่วนเพลงสากลก็มีที่นิยมอยู่หลายร้อยเพลงเช่นเดียวกัน แต่ผมขอถือวิสาสะเลือกเอาหนึ่งเพลง ไว้เป็นเพลงเอกในช่วงนั้นแล้วกันนะครับ และก็เห็นจะต้องเป็นเพลง Knockin On Heaven’s Door”  ไม่ว่าจะเวอร์ชั่น Guns n’ Roses หรือ เวอร์ชั่น Eric Clapton ผมก็เชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่นี่คงเคยฟังกัน  ในเนื้อเพลงพูดถึง ความเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเส็งเคร็ง ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับราคะอันรุ่งริ่ง และการจะรักษาชีวิตให้อยู่รอดอย่างคนปกติจนถึงทุกวันนี้นั้นนี่มันช่างยากแสนยากและโชคไม่เคยยืนอยู่ข้างเราเลย  เหมือนตัวเองกำลังเคาะประตูสวรรค์อยู่ทุกขณะ

เพลงนี้ทำให้ผม ได้มีโอกาสย้อนมองตัวเองกลับมาได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ชีวิตผมมันก็เต็มไปด้วยราคะ เต็มไปด้วยความลุ่มหลง มัวเมา สิ่งผิดทุกชนิดผมรับรักเหมือนคนหนุ่มเมื่อมีรักแรก สารพัดสิ่งที่รุมล้อมและพร้อมจะดึงผมลงเหว  ผมก็หลงรักและกวักมือเรียกหามันเองทั้งหมด  และถึงเมื่อวันหนึ่งเมื่อผมต้องการชีวิตใหม่ กลับไม่มีคนให้โอกาส  กลับกลายเป็นว่าผมนั้นเป็นเสมือนสิ่งแปลกแยกจากสังคมและสิ่งรอบข้าง เพื่อนฝูงที่รู้จักมักคุ้นรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่ผมพยายามจะเป็น ส่วนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันก็ไม่ยอมรับในอดีตที่ผมเคยเป็น  จนหลายต่อหลายครั้งผมเกือบจะไปเคาะประตูสวรรค์อยู่รอมร่อ

และพวกท่านทั้งหลาย ที่อยู่รอดปลอดภัย อยู่กันมาจนถึงวันที่ท่านได้มานั่งอ่านเรื่องสั้นของผมในวันนี้  พวกท่านก็คงผ่านการ Khockin on Heaven’s Doors กันมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ผมเชื่อเช่นนั้น ....

ว่าแต่ว่า นี่ผมเล่าสะเปะสะปะเกินไปหรือเปล่าวันนี้  ก็เอาเป็นว่า....ท่านก็อย่าได้ตำหนิกันแล้วกันนะครับ  เมื่อรักกันแล้วก็อย่าได้ตำหนิกัน เพราะตัวตนของผมก็ไม่ห่างจากคำว่าสะเปะสะปะซักเท่าไหร่ เล่ามาทั้งหมดก็เป็นอะไรที่ถือว่าเล่ากันสบายๆสนุกๆ ซักสัปดาห์นะครับและสัปดาห์หน้าจะจัดหนักให้

ยังไงซะ ผมก็ยังคงเป็นผมคนเดิม เป็นเล็ก 207 ไม่เปลี่ยน  เป็น เล็ก207 ผู้ที่อยากให้ท่านที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่านเรื่องเล่าในตอนนี้ของผม ได้พิจารณาตีความหมายและเข้าใจถึงหัวใจของเพลง Khockin On Heaven’s Door และเป็นชื่อเรื่องของเรื่องสั้นของผมในตอนนี้ให้ดี  เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่าน้องๆในยุคนี้  ซึ่งแน่นอน มันกำลังเป็นยุคของพวกเค้า พวกเค้าในขณะนี้ซึ่งกำลังขาดคนที่คอยจะชี้นำทาง ให้ทำในสิ่งถูก ขาดอย่างรุนแรง ก็ด้วยสังคมและภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว  ทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ตอนนี้จะมีพวกเค้าซักกี่ร้อยกี่พันคนที่กำลังยืนเคาะประตูสวรรค์กันอยู่อาจจะมากกว่าพันอาจจะเป็นหมื่นคน   ตามแต่สภาพแวดล้อมและสังคมจะพาพวกเค้าไป

ผมอยากให้ท่านได้เข้าใจเอาไว้ว่าซักวัน พวกเค้าก็จะมานั่งแทนที่พวกเราและนั่งเล่าเรื่องในลักษณะเดียวกันให้คนรุ่นต่อๆไปฟังกัน  แต่นั่นต้องหมายถึงเฉพาะคนที่ประตูสวรรค์ไม่เปิดรับพวกเค้าเท่านั้นนะครับ พวกเค้าจึงจะรอดมาทำหน้าที่แทนพวกเราต่อได้   แต่ผมก็ยังอยากให้พวกเค้า ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนของพวกเราในวันข้างหน้าต้องระวังกันให้จงหนัก เพราะแม้ประตูสวรรค์จะไม่เปิดรับพวกเค้าในวันนี้ แต่......

ประตูนรกยังคงเปิดรออยู่ทุกวัน และไม่เลือกว่าจะเป็น พวกเค้าหรือว่า พวกเรา

สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี

จากใจ
เล็ก 207

 

    อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น