วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า ตอนที่ 1 - เด็กชายผู้เกิดมาพร้อมกับดวงเพชฌฆาต

เด็กชายผู้เกิดมาพร้อมกับดวงเพชฌฆาต
โดย เล็ก 207



ภาพบรรยากาศในตอนนี้มืดสลัว ผมมองไม่ชัดว่าบริเวณรอบข้าง รอบตัวผม เป็นอย่างไร  และที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ผมไม่รู้เลย มันดูมืดไปซะหมด  ทราบอย่างเดียวว่า มือขวาผมตอนนี้เกาะกิ่งไม้เอาไว้ ตัวห้อยโต่งเต่งอยู่  จวนจะเจียนตกลงไปข้างล่างเต็มทีแล้ว   ผมต้องพึ่งกิ่งไม้เล็กๆเพื่อประคองตัวไว้ ไม่ให้ตกลงไปด้านล่างที่แสนมืดนั้น    

ผมสังเกตุเห็นสะพานที่อยู่ใกล้ตัวผมมาก แต่ผมเอื้อมไม่ถึง  เป็นสะพานราวที่ทำขึ้นจากเชือกและแผ่นไม้ เชื่อมระหว่างภูเขาสองลูก  แต่แปลกที่ผมไม่ยักกะใช้สะพานเส้นนั้น และก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆผมจึงมาเกาะกิ่งไม้นี้ และห้อยต่องแต่ง ดูน่าสมเพชเช่นนี้   

พลัน บนสะพานที่เชื่อมระหว่างเขาสองลูกนั้น ผมเห็นพระสงค์รูปหนึ่งหยุดยืน มองมาที่ผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ผมมีความรู้สึกว่าท่านกำลังยิ้มอยู่ ทั้งๆที่ท่านทำหน้านิ่งเฉยมากๆ  พระสงค์รูปนั้นพูดกับผมว่า  บวชซะ เอ็งจะได้ดี จะได้เป็นพระชั้นผู้ใหญ่   ผมได้ยินที่พระท่านพูดเสียงดังชัดเจน  ใบหน้าท่านก็ชัดเจน  แต่ผมกำลังจะตกอยู่แล้วและกำลังดิ้นรนอยู่  ผมจึงละสายตาจากท่าน เพื่อตะกายตัวให้พ้นจากวิกฤต

ก็ปรากฏก่อนที่ผมจะทำอะไรได้   ฟ้าก็สางแล้ว  ....... โอยผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้
------------------------------------------- 

จวนเจียนจะหกโมงเช้าแล้ว ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน ไปซอยลาดพร้าว 38  ไปเพื่อให้ทัน น้าโนช  พนักงานขับรถส่งของ บริษัท โอสถสภา จำกัด  เป็น น้าโนชผู้ให้ความกรุณาต่อผม  ในฐานะที่ผมเป็นเพื่อนของหลานชายที่ไม่ใช่หลานชายแท้ๆของน้าโนช  แต่น้าโนชก็รักเหมือนหลานแท้ๆ คือไอ้เจ้าชายกบ หนึ่งในสมาชิก BU207 เพื่อนสนิทของผมนั่นเอง   ตัวผมก็คือหนึ่งในกลุ่ม นักเรียนช่างกลบุรณพนธ์  ที่เข้ามามั่วสุม กันอยู่ในซอยลาดพร้าว 38  และในช่วงเวลาระหว่างวัน พวกเราก็ว่างกันมาก  ไม่มีอะไรทำ  เพราะพวกเราลงเรียนรอบค่ำกันหมด   ด้วยความที่ว่างมากในช่วงกลางวัน  พวกเราก็เที่ยวก่อเหตุไปเรื่อย สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว  ไม่มีกิจกรรมนอกซอย  ก็จะใช้เวลาทั้งหมดของวันไปกับการพี้เนื้อจนเพียบ ตาหวานได้ที่ก็เดินโซซัดโซเซ โหนรถเมล์ไปโรงเรียนกัน ....

8 โมงเช้าของทุกวันทำงาน ผมต้องไปนั่งรองาน ที่บริษัท โอสถสภา จำกัด เหมือนกุลีทั่วไป ที่นั่งรอกันเป็นสิบๆคน เพื่อแลกกับค่าแรงขั้นต่ำ 90 บาท ในยุคนั้น นี่ยังไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายนะครับ หักแล้วผมก็เหลือประมาณ 80 บาท กว่าๆต่อวันครับ  ก็พอกินครับ ในยุคนั้น    พวกเราเหล่ากุลีทั้งหลาย ก็นั่งรอให้ คนขับรถส่งของ แต่ละคันได้เลือกใช้งานกันตามใจชอบ  เป็นเด็กติดรถ คอยขึ้นของ-ลงของ ทั้งที่บริษัทฯเอง และที่ร้านยี่ปั๊ว ทั่วกรุง  บางคนโชคร้ายไม่ได้งาน ไม่มีคนเรียกใช้บริการ ก็เสียฟรีไป 1 วัน  ชีวิตกุลีก็แบบนี้ล่ะครับ

อ้อ...ผมขอขัดจังหวะหน่อย เดี๋ยวเพื่อนฝูงผมที่สนิทกัน จะงงว่าผมทำไมต้องไปเป็นกุลีที่ บริษัท โอสถสภา จำกัด เพราะที่บ้านก็ไม่ได้ลำบากอะไร คือช่วงวัยรุ่นนี่ผมค่อนข้างบ้าพลังนะครับ การไปเป็นกุลี นอกจากจะได้เงินค่าขนมแล้ว ก็ช่วยให้ผมลดความบ้าลงไปได้มากโขครับ

กลับเข้าเรื่องต่อนะครับ....... ในบรรดาเหล่า กุลีทั้งหลาย  วัยรุ่นอย่างผม ก็มักจะเป็นที่ต้องตาต้องใจ ของบรรดาสิงห์แก่รถบรรทุกเสมอ ก็ด้วยหัวอ่อน ใช้งานง่าย ไม่เรื่องมาก ผมได้ติดรถเกือบจะครบทุกคันแล้ว เว้นแต่บางคันที่ออกต่างจังหวัดไกลๆผมก็จะไปไม่ได้  งานในแต่ละวันของผม ก็ขึ้นของที่บริษัทฯ และเมื่อถึงจุดลงของในแต่ละที่  ก็จะกระโดดลงจากรถ  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตามหน้าห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในสมัยนั้น ทั้งในย่าน บางลำพู  ย่านราชประสงค์ ประตูน้ำ สะพานควาย เยาวราช ฯลฯ  บางห้างผมพูดชื่อไปคนสมัยนี้ก็ไม่รู้จัก โบราณมาก มากกว่าผมอีก ..    และเมื่อรถวิ่งมาถึงที่หมาย ผมก็ต้องกระโดดลงจากรถ แต่ก็ยังลงของไม่ได้  ยังต้องยืนรอรถ 6 ล้อส่งของ ให้วนกลับมาใหม่ เพราะตำรวจจะคอยเป่านกหวีดไล่ตลอด  ก็ต้องใช้วิธีการขับรถวนที่ละหลายรอบ จนกว่าจะลงของครบ  ผมจึงต้องทั้งนั่งเฝ้าของ และเมื่อครบจำนวน ก็ต้องขนให้ได้ภายในครั้งเดียว เพื่อไม่ให้สินค้าหาย  บางครั้งต้องเจอฉลามบุก (เครื่องดื่มชูกำลังสมัยนั้น) ทีละ 12 ลัง ต่อเที่ยว ก็เหนื่อยหน่อย  มิหนำซ้ำ ถ้าวันไหนแจ็คพ็อต  ต้องส่งของย่านเยาวราช  อันนี้รับรองกลับบ้านหลับสบายแน่  เพราะสวรรค์ชั้น 3 ทั้งนั้น .......  อ๊ะๆๆๆ อย่าเข้าใจผิดครับท่าน   สวรรค์ชั้น 3 คือที่เก็บของบรรดาร้านยี่ปั๊วทั้งหลาย   ผมต้องแบกฉลามบุกรอบละ 8-10 ลัง ขึ้นชั้น 3  ยิ่งร้านไหนสั่งซัก 100 ลัง นี่จบกัน กูอยากจะทำตกแตกแม่งตั้งแต่ลังแรกแล้วครับ จะได้จบๆกันไป...เฮ้อเหนื่อยโคตรๆ

ก็บ่นๆกันไปเท่านั้นล่ะครับ  ก็เพราะเพียงอยากให้ท่านๆได้เห็นภาพกัน   แต่ในชีวิตจริง ผมทำงานก็ไม่เคยปริปากบ่นใดๆทั้งสิ้น รีบทำรีบกลับ เพราะงานต้องจบตอนบ่ายสอง เพื่อรถจะได้กลับมาบริษัท ตอนบ่ายสามโมง เป็นอันจบงาน ในแต่ละวัน   
และในขณะที่ผมแบกหามอยู่ทุกวัน เพื่อนๆผม ส่วนใหญ่ก็จะติดแหง็กกันอยู่ในซอยลาดร้าว 38   นอนเพียบเนื้อกันเต็มที่  รอเวลา เพื่อมาพร้อมกันที่จุดนัดหมาย คือท่ารถ 207 แฮปปี้แลนด์ .........

-------------------------------------
ที่ตลาดแฮปปี้แลนด์  อาชีวะต่างสถาบัน ส่วนมากมักจะเข้าใจว่าเป็นถิ่นของ BU207  มาแต่เดิม  แต่กว่าจะทำให้ น่าเชื่อว่าเป็นแบบนั้น พวกเราต้องลงมือลงแรงกันทุกวัน บาดเจ็บในการปะทะก็มีหลายครั้ง  อุปสรรคส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากนักเรียนอาชีวะด้วยกัน แต่มาจากเด็กบ้านในละแวกนั้นมากกว่า  ทั้งเด็กสุเหร่าต่างๆ ในย่านบางกะปิ รวมถึงวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่ส่วนมากจะเป็นบรรดานักเลงหัวไม้ ในพื้นที่ ในสมัยนั้น แทบทั้งสิ้น   พวกเราปะทะกับคิวมอเตอร์ไซค์ที่แฮปปี้แลนด์ จนแตกหักครั้งใหญ่ และก็อย่าศึกกันไปในที่สุด  จนพวกเราสามารถยึดได้เกือบทุกพื้นที่ในบริเวณตลาดแฮปปี้แลนด์   จะมีก็แต่ พวกตำรวจสายตรวจ สน.ลาดพร้าว ที่มักจะโยนข้อหาแสบๆคันๆมาให้พวกเราเป็นประจำ  เช่น ข้อหาหน้าตามึงผิดระเบียบว่ะ    ข้อหาหมั่นไส้พวกมึงว่ะ   ข้อหาจับไว้ก่อนเดี๋ยวก็มีเจ้าทุกข์มาแจ้งความพวกมึง   ผมก็เป็นหนึ่งในขาประจำของคดีพวกนั้น   ได้ถ่ายรูป พิมพิ์มือ รอเจ้าทุกข์ก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยซักครั้งที่เหยื่อพวกเราจะกล้าแจ้งความ ?!?!?!?

ชีวิตอาชีวะของผม มีคติประจำตัว ที่ยอดแย่ อยู่อย่างนึง คือ เจอหญิงแล้วทิ้งเพื่อน ผมทำเป็นประจำครับ เพื่อนยังไงถึงที่สุดแล้ว มันก็ให้อภัยกันได้ครับ  เลี้ยงเหล้าหนึ่งหม้อหนึ่งเมา ก็หายเคืองแล้ว  แต่หญิงนี่ ถ้าปล่อยแล้วหลุดเลย อดแดร๊กแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆ  ผมจึงยังคงถือปฏิบัติตามคติประจำตัว อย่างเคร่งครัด มิได้ขาด (เฉพาะเรื่องนี้ ผมถือว่าเป็นคนที่มีวินัยที่สุดในประเทศไทยครับ...ผมยืนยัน ฮาๆๆ) 

วันนึงผมตามไปส่งเพื่อนสาวของผมแถวๆถนนสุขาภิบาล ย่านบางกะปิ  ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ไปส่งถึงบ้านครับ เพื่อนสาวของผมเธอไว้เนื้อถือตัวพองามครับ  แต่อนุญาติให้ผมจบเส้นทางลงตรงที่ตลาดอินทรารักษ์ บึงกุ่ม...

ผมเสร็จภารกิจราวสามทุ่มกว่าๆ  ผมเดินทอดน่องไปเรื่อย ไม่รู้จะไปไหนต่อ  เพราะช่วงเรียนผมไม่ค่อยกลับบ้านครับ มักขลุกอยู่กับเพื่อนเป็นส่วนใหญ่  อาทิตย์นึงจะอยู่บ้านซัก 2-3 วันเท่านั้น  และนิสัยผมนี่เวลาไปไหนก็มักจะเต็มยศ กลับจากส่งหญิง ผมเดินมารอรถเมล์ แถวๆตลาดอินทรารักษ์ เพื่อจะไปหาเหล้ากินต่อ ที่ไหนซักที่  แต่ดวงคนมันจะซวย  ไม่หาเรื่อง เรื่องมันก็วิ่งมาหา ซะงั้น  ผมไม่รู้ว่าตลาดอินทรารักษ์เค้ามีปัญหาอะไรกันอยู่ ใครตีใคร ใครเจ็บ ใครตาย ผมไม่ทราบทั้งสิ้น เพิ่งเดินกลับมาจากส่งหญิง ด้วยหัวใจพองโต  เดินกลับมายังไม่ทันถึงป้ายรถเมล์  พวกก็เฮกันมาตรึมเลย  ใคร(กู) ก็ไม่รู้จัก  ทะเลาะกะใครมา(กู)ก็ไม่ทราบ  ไม่ทราบเลยให้ตายเถอะ  วิ่งกันมาเต็มถนนเลย นึกว่าจะตีกู  เอ้า.. กูก็เอาวะ เมาควันรถเมล์อยู่พอดี ไม่ได้จบโน่น มาจบนี่ก็ได้วะ เสียวเหมือนกัน   ควักมีดยังไม่ทันพ้นเอว  ไอ้พวกที่วิ่งมาก็ถึวตัวแล้ว นึกว่าแมร่งจะกระทืบกู ไหนได้   แมร่งเสือกดึงมือกู ให้กูวิ่งตามไปกะมันอีก  ได้ยินชัดๆเต็มสองหู เฮ้ย..วิ่งดิ ไอ้เหี๊ย   เอ๊ะ...กรูไปรู้จักพวกมรึงตอนไหนวะ  ตั้งสติได้  เลยจัดการตะโกนสั่งการแม่งซะเองเลย  เฮ้ย! พวกมรึงจะวิ่งทำเหี๊ยไรวะ...เอากะมันดิ   เออ...พวกมันก็บ้าจี้เว้ย! หยุดตามกูกันหมด   ตกลงนี่กูเป็นหัวโจก ให้พวกเวรตะไลนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ยะ  และมันตีกะใครอยู่ (กู) ก็ไม่รู้   เมื่อสถานการณ์พาไป ก็ว่าตามนั้น

ผมพากลุ่มวัยรุ่น ที่มีเด็กนักเรียนขาสั้นรวมอยู่ด้วย ประมาณจากสายตา น่าจะกว่า 20 คน  วิ่งสวนกับกลุ่มเด็กช่าง ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าสถาบันใดเหมือนกัน แต่ประเมินจากบุคลิกโดยรวมแล้วไม่ใช่งานหนัก  เมื่อสองฝ่ายปะทะกัน มันดูเหมือนบรรยากาศของนักมวยที่ส่วนใหญ่ใช้แย็ปแล้ววนๆไปรอบเวที  เสียอารมณ์ไปพอควร  ผม (จริงๆควรเรียก...เรา) ครับ เราวิ่งไล่เด็กช่างมาจบที่ตึกแถวภายในตลาด แล้วก็รุมกระทืบเด็กพวกนั้นที่หนีไม่ทัน ที่ร้านค้าหน้าตลาดนี้ครับ  ที่ตึกนี้ ผมไม่ได้ใช้มีดที่ถือมา เพราะอีกฝั่ง ที่เดิมวิ่งไล่กวดพวกเรา (จริงๆก็คือ พวกมันทั้งสองฝ่าย เพราะกรูไม่เกี่ยวข้อง .... ฮาๆๆๆ)  พอโดนไล่กวดดูเหมือนมันจะไม่สู้ครับ  วิ่งกันมั่วไปหมด แต่พอดี เราเครื่องติดแล้ว ก็เลยตามเลย เล่นเอาเหนื่อยพอควรครับ รุมเตะเด็กช่างกลุ่มที่หนีไม่ทัน จนล้ม ล้มแล้วก็เตะต่อจนตู้โชว์สินค้าหน้าร้าน แตกละเอียด  ผมเห็นเรื่องเลยเถิดแล้ว ก็ชิ่งเลยครับ ไม่ใช่พวกด้วย ไปดีกว่า ขี้เกียจรอให้พวกสายตรวจมาจับพิมพิ์ลายนิ้วมืออีก  ผมวิ่งข้ามฟาก มาขึ้นรถเมล์อีกฝั่งกลับบ้านไป ก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพครับ หลับสบายไปอีก 1 คืน

รุ่งขึ้น เป็นวันเสาร์ไม่มีงาน (จริงๆก็มีงาน แต่เฉพาะสายต่างจังหวัด ผมจะเลือกไม่ไปครับ) ผมตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียเล็กน้อยแล้วก็นอนต่อ   ช่วงบ่ายพ่อตะโกนเรียก ก็ต้องตื่นและลงมาข้างล่าง... อ้อ บ้านผมสมัยก่อนเป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้นนะครับ ด้านล่างเป็นปูน ด้านบนเป็นไม้ ตอนนั้น ที่บ้านเลิกทำกิจการร้านอาหารแล้ว เปลี่ยนเป็นร้านโชว์ห่วยแทน  ผมลงมาข้างล่าง ว่าจะลงมาหาของกินซะหน่อย เห็นบรรยากาศแปลกๆ ผมก็เลยถามพ่อกับแม่ว่า มีอะไรหรือเปล่า?  พ่อผมทำหน้าเครียดเลย พ่อถามผมว่า  เมื่อคืนไปไหนมา?  ผมไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย ทั้งเรื่องผู้หญิงและเรื่องไอ้เด็กช่างพวกนั้น ผมก็ตอบพ่อไปว่า  ไม่ได้ไปไหน เลิกเรียนก็เข้าบ้าน    พ่อผมหยิบกระดาษขึ้นมา 1 ใบ เป็นสำเนาใบลงบันทึกประจำวัน สน.ลาดพร้าว ในนั้นมีชื่อและนามสกุลผมแบบเต็มๆอยู่ด้วย พร้อมข้อกล่าวหาว่า ทะเลาะวิวาทและขโมยวัตถุโบราณจากร้านขายวัตถุโบราณที่ตลาดอินทรารักษ์ ?!?!?

ผมงงเป็นไก่ตาแตกเลย ทำไมมันถึงซวยอย่างงี้วะ เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องของกู  และก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่ได้ถึงตายซะหน่อย แถมมันรู้จักชื่อ-นามสกุลกูได้ยังไงวะ?  พ่อบอกกับผมว่า ผมทำสำเนาบัตรประชาชนกับสำเนาทะเบียนบ้านตกไว้ที่เกิดเหตุ ...  

ท่านผู้อ่านคงนึกภาพออก พวกเราในสมัยวัยรุ่นเวลาต้องมีเอกสารสำคัญใดๆ ติดตัวไปใช้สมัครเรียนหรือสมัครงาน ก็มักจะม้วนๆแล้วเหน็บกระเป๋ายีนส์ด้านหลัง  มันดูเท่ห์โคตร (ตามประสาเด็กวัยรุ่นสมัยนั้น)  แล้วมันก็เสือกตกเอาไว้ที่ร้านขายวัตถุโบราณนั้นซะด้วย  ในรายการของหาย ที่พ่อผมบอก ก็มีทั้ง ดาบโบราณ มีดโบราณ ปืนโบราณ ฯลฯ  แมร่งสารพัดจะโบราณ   ในชีวิตกู นอกจากหน้าตาโบราณๆของกูเองแล้ว อย่างอื่นกูไม่รู้จักทั้งสิ้น....สาบาน ฮาๆๆๆ  

พ่อผมก็จัดเต็มเลยครับ   สวดภาณยักษ์ใหญ่ใส่ผมเลยทีนี้  เซ็งลิเวอร์พูลเลยกรู  ข้าวก็ยังไม่ทันได้กิน  พ่อล่อซะผมอิ่มเลย    หลังจากวันนั้น ทั้งพ่อและแม่ผม พยายามจะให้ผมเลิกเกเรให้ได้ หาวิธีต่างๆนาๆ พาเข้าวัดบ้าง  พาไปหาญาติตามต่างจังหวัดบ้าง  ทำหลายอย่าง ผมก็ยังฟังเพื่อนมากกว่าพ่อแม่อยู่ดี! 

ผมก็ถือว่าเกเรตามประสาวัยรุ่นครับ ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป  พ่อ-แม่ ไม่สบาย แทนที่จะอยู่ดูแล  โน่น..รีบออกจากบ้านเลยกลัวต้องนั่งเฝ้าไข้  แต่พอเพื่อนโทรมาบอกว่า แมร่งกูโดนมองหน้าว่ะ ยอมไม่ได้    แหม๋....กรู แมนขึ้นมาเลย   โน่น... แมร่ง วิ่งตัวปลิวออกจากบ้านเลย กลัวไปไม่ทันร่วมอยู่ในเหตุการณ์รุมกระทืบพวกมองหน้าเพื่อนกรู  ทั้งๆแม่งเอ้ย ไม่ได้เคยรู้จักกันมาก่อนเลย บ้าพลังจริงกู  แบบนี้เค้าเรียกเลวได้ใจ จังไรได้โล่ห์จริงๆ   

ท้ายที่สุด  ด้วยความรักของผู้เป็นแม่ที่มีต่อลูก  แม่ผมก็พาผมไปหาหมอดู เป็นคำตอบสุดท้าย  เพราะกลัวผมจะตาย ไม่ทันพ้นวัยเรียน.....

พวกเราในวัยเรียน ยิ่งในยุคอาชีวะนี่ เจอหมอดูทีไร ของขึ้นทุกที ผมชอบคิดเล่นๆเหมือนกับที่พวกเราที่นี่คิดกัน ว่าไอ้หมอดูพวกนี้แมร่งเคยดูดวงให้ตัวเองหรือยังวะ  เสือกมาดูดวงกู  ลองดูถ้าแม่งแน่จริง แม่งต้องรู้ว่าแม่งกำลังจะโดนกูต่อย ฮ่าๆๆๆๆๆ (ผมว่าถ้าท่านทั้งหลายนึกย้อนกลับไป  เด็กๆอาชีวะอย่างเรา ก็มักคิดอะไรที่ทะโมนๆอย่างนี้ เหมือนกันทั้งนั้นแหละครับ)

แม่ผมเขียนวัน เดือน ปีเกิด เวลาเกิด ให้หมอดู แล้วก็เล่าเรื่องของผม ซะจนผมนี่รู้สึกเสียหน้ายังไงไม่รู้   แม่นี่ก็ช่างไม่เข้าใจวัยรุ่นเลยจริงจริ๊ง  ผมแสดงอาการทั้งไม่พอใจหมอดู และไม่นับถือหมอดู อยู่ตลอดเวลา  แถมท้าทายในใจอยู่ตลอด ต่อยกับกูมั๊ย ต่อยกับกูมั๊ย ไอ้เห้ (ในใจ นะครับ พี่น้อง ในใจ  อย่าได้คิดว่าผมจะกล้าพูดอะไรแบบนี้ ต่อหน้าแม่ผมนะครับ....ใช้จินตนาการเอา เหอๆๆๆ)

หมอดูมองหน้าผม แล้วพูดกับแม่ว่า  เด็กคนนี้ต้องบวช จะได้ดีเพราะออกบวช  ต้องดูแลให้ดี  เพราะดวงน้องฆ่าคนได้ ถ้ามุ่งไปในทางไสยศาสตร์ จะสามารถว่าคาถาพลางตัวได้  จะไปได้เหมือนขุนโจร  ถ้าได้เป็นตำรวจหรือทหารก็จะต้องทำหน้าที่ปราบโจรหรือได้ออกรบแน่นอน  แต่ดวงไม่ไปทางนั้น ยังไงก็ต้องออกบวช...

แม่หันมามองที่ผม แล้วพูดว่า เล็ก ต้องบวช ลูกผมตอบแม่ว่า รู้แล้วผมรู้มาก่อนจะมาที่นี่อีก   ทั้งแม่ผม ทั้งหมอดู ถามพร้อมกันว่า   รู้ได้ยังไง?  ผมไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่ภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่แขวนเอาไว้ที่ฝาผนังในสำนักหมอดู  ใบหน้าท่านยิ้มแย้ม ดูใจดี ผมบอกกับทั้งแม่และหมอดูว่า  พระท่านมาบอกผมเมื่อสามวันที่แล้ว  หลวงปู่ในรูปนี้มาบอกผมในฝัน ผมฝันถึงพระรูปนี้ครับ...แม่

พระสงฆ์ผู้มีจิตเมตตามาโปรดผมรูปนี้ท่านคือ หลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ผมทราบจากหนังสือที่หมอดูยื่นมาให้  แล้วหมอดูก็หันหน้าไปหาแม่ผม แล้วย้ำว่า น้องต้องบวช ถ้าไม่ตอนนี้ ในวัยชราก็จะบวชไม่สึก และจะได้เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียง  แต่ถ้าน้องยังไม่บวชตอนนี้ ชีวิตน้องจะพบกับวิกฤตมากมายในชีวิตตามกรรมที่ติดตามตัวมา  ชีวิตน้องจะโลดโผน ขึ้นสุด ลงสุด ต่ำสุด ลึกสุด เพราะน้องคนนี้ (คือผม) เกิดมาพร้อมกับดวงเพชฌฆาต.............

อยากรู้กันหรือยังครับ ว่าคนถือกำเนิดด้วยดวงเพชฌฆาตอย่างผม ได้ก็ก่อกรรมทำเข็ญอะไรเอาไว้บ้าง

***********************************************************************************************************

ติดตามอ่านเรื่องสั้นของผมได้ในทุกๆสัปดาห์ และในตอนต่อๆไป
-           ลูกสาวเจ้าพ่อ
-           บุรณพนธ์กับสงครามกัมพูชา
จากใจ
เล็ก 207


 

    อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งคนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น