วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปฐมบท Lek Luka

ปฐมบท Lek Luka
โดย เล็ก207



ในปี 2530 เขาทรายแกแล็คซี่ นักชกแผดผู้น้อง จาก จ.เพชรบูรณ์ ได้สร้างชื่อด้วยการน็อคนักมวยจากประเทศเกาหลีใต้ ในการป้องกันแชมป์โลกครั้ง 6 ของตัวเอง ด้วยหมัดซ้ายอันทรงพลัง จนได้รับฉายา หมัดซ้ายทะลวงไส้ ในการต่อมา


ในปีเดียวกัน ผมเริ่มเข้าเรียนที่ วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี หรือที่เหล่าอาชีวะ เรียกขานว่า ช่างมีนฯผมเรียนในสาขาวิชาช่างเชื่อมโลหะแผ่น ส่วนประวัติผมที่สมัยช่างมีนฯเคยเล่าเอาไว้ที่นี่หลายตอนแล้ว ไม่ขอเล่าเพิ่มเติม เดี๋ยวจะเกิดอาการเอียน ในหมู่ผู้รังเกียจความจำเจ

ปีที่ผมเข้าเรียน สมัยนั้น ที่บ้านผมทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งเปิดร้านอาหาร ทั้งสร้างหมู่บ้านขนาดเล็กเอาไว้ขาย และทำธุรกิจคิวสองแถว ผมเป็นลูกคนสุดท้อง จึงได้ชื่อตามสถานะว่า เล็กครอบครัวผมเป็นครอบครัวในกลุ่มชนชั้นกลาง ไม่ร่ำรวย ไม่ยากจน พอดีๆ พอกิน คุณพ่อผมเป็นผู้ติดตาม ส.ส.ชัยนาท ในสมัยนั้น และเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับลุงสมัคร สุนทรเวช และได้เป็นหัวคะแนนช่วยลุงหมักหาเสียงให้พรรคประชากรไทย ในทุกๆครั้งที่มีการเลือกตั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากนายทหารยศพลเอกฯ ท่านหนึ่งที่มีถิ่นพำนักอยู่ย่านเดียวกัน

ด้วยชีวิตที่โชกโชนของคุณพ่อผม ทำให้ลูกๆหลายคนได้รับอิทธิพลในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่ชายคนโตของผม จัดว่าเป็นนักเลงโตในยุคนั้น และวนเวียนขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพิ์ไทยรัฐ หลายครั้ง คดีแล้วคดีเล่า ก็รอดเพราะบารมีคุณพ่อของผม พี่ชายคนอื่นๆ ก็เป็นทหารกันหมด ส่วนพี่สาว 2 คนก็แต่งงานมีครอบครัวกันไป มีความเป็นอยู่ตามอัตภาพ เหลือเอาไว้ก็แต่ผม ลูกคนสุดท้อง ที่ไม่ค่อยจะเอาถ่าน พ่อมักจะพูดกับแม่เสมอว่า ผมเป็นเด็กเงียบ ใจแข็ง ไม่กลัว ไม่ร้อง และก็ไม่ทำอะไรเลย ผมก็คิดว่าเป็นภาวะของเด็กมากกว่า เพราะเมื่อโตขึ้นผมไม่เงียบอย่างเคย ค่อนข้างจะใจร้อน มุทะลุ เพื่อนฝูงมาก และมักจะเสียน้ำตาให้เพื่อนเสมอ

ตลอดเวลาช่วงเด็กๆ ผมมักไม่มีรูปถ่าย ก็เนื่องจากหน้าตาที่ผิดแผกแตกต่างจากพี่ๆ ทำให้ผู้ใหญ่ไม่ค่อยปลื้มและมักทิ้งไว้ที่บ้านไม่อยากชวนไปไหนมาไหนด้วย

พอช่วงก่อนเข้าสู่วัยรุ่น ผมมักนั่งจดจำภาพต่างๆรอบตัว แบบเด็กเก็บกด โดยมิได้ปริปาก หรือแสดงอาการใดๆ ทั้งสิ่งที่ผมเห็นและผมรู้ มันมีเรื่องราวมากมาย ทั้งที่มีผลมากมายต่อคนหลายสิบหลายร้อยชีวิต แม้กระทั่งภาคการเมืองในสมัยนั้นผมก็รับรู้รับทราบแต่ไม่พูด และไม่รู้จะพูดเพื่ออะไร

ผมเติบโตมากับครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงเป็นตัวตัดสิน ทั้งในหมู่เครือญาติและสังคมรอบข้าง ผมช่วยพ่อขัดปืนตั้งแต่ยังไม่ 10 ขวบ ผมได้เห็นพวกนักเลงสมัยก่อน เข้ามานั่งสั่งอาหารและสุรามาดื่มกินกันที่ร้านพ่อผม และมักจะใช้ร้านอาหารของพ่อผมเป็นเวทีประลองกำลัง ประลองความกล้า ในยุคนั้น เสมอ

พอสุราเข้าเส้นก็ออกอาการกันสารพัด พวกสักหนุมานก็ของขึ้นตีลังกากันไป บ้างก็ทุบแก้วหยิบเศษแก้วขึ้นมาเคี๊ยวเหมือนขนม ผมมองดูอยู่ ไม่ยักกะเลือดไหลแฮะ บ้างก็งัดปืนขึ้นมายิงขู่กัน หนักๆเข้าผมยังเคยเห็นคนโดนขวานฟันตัวเกือบขาด เลือดนี่นองเต็มร้านเลย ตายกันกลางถนน เป็นแบบนี้ทุกวัน

ผมเคยเห็นเด็กอาชีวะสายลม ในสมัยนู๊น มาในชุดดำเป็นสิบคนเข้ามานั่งดื่มกินแล้วหาเรื่องทั่วร้าน แล้วโดนพ่อผมจับตบซะจนต้องขอขมากันก็มี ไม่เว้นแม้แต่เอาชีวิตมาทิ้งในร้านของพ่อ ด้วยน้ำมือของพี่ชายคนโตผมก็มี ผมได้เห็นพี่ชายผมใช้มีดตัดนิ้วลุงตัวเอง เพราะห้ามปรามไม่ให้เข้ามายุ่งในร้าน ผมได้เห็นพี่ชายผมใช้มีดแทงลูกค้าที่เซ็นแล้วไม่จ่ายอยู่หลายหน ผมได้เห็นพ่อผมสับศอกใส่อันธพาล พร้อมตบด้วยปืนอยู่หลายครั้ง ผมโตมาพร้อมๆกับสิ่งเหล่านี้ และวันนึงผมก็โตพอที่จะช่วยงานพ่อได้

ผมสั่งสมบารมีจากเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เริ่มจากการชกต่อย ไล่ตีกันกับเด็กละแวกบ้าน ตามประสาเด็กวัยรุ่น จนผมเริ่มคบหาเพื่อนรุ่นโตกว่า เริ่มได้รับรู้โลกในมุมที่กว้างขึ้น ได้เข้ากลุ่มเพื่อนรุ่นใหญ่ที่เรียนช่างกลบางช่อน และไทยสุริยะบางเขน และได้มีโอกาสร่วมงานกับเพื่อนรุ่นพี่หลายต่อหลายครั้ง และก็มีที่ออกตัวเยอะในต่างถิ่นจนโดนรุมกระทืบซะตาปิดปากบวมเป่ง กลับบ้านแม่ถามก็ต้องบอกว่า หกล้มตามฟอร์มของเด็กเพิ่งโต อย่างนั้นก็มี



นั่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในก่อนวัยรุ่นของผม.....ผมขอย้อนกลับเข้าเรื่อง มาที่เขาทรายแกแล็คซี่ ในวันที่ 12 ตุลาคม 2530 เป็นวันที่เขาทรายขึ้นชก ที่บ้านผมเนื่องจากพ่อมีลูกน้องมาก จึงเปิดบ้านให้คนทั่วไปเข้ามานั่งดูมวยกัน ผมก็ชื่นชอบเขาทรายแกแล็คซี่ แต่ตลกคือผมกลับได้ฉายาว่า ไอ้ก้องธรณี ในตอนเด็ก ก็เพราะผมเริ่มเข้าค่ายซ้อมมวยตั้งแต่อายุ 14 รูปร่างในขณะนั้นจะใกล้เคียง ก้องธรณี พี่ๆในค่ายจึงเรียก ไอ้ก้องธรณี

เมื่อเขาทรายขึ้นชก พวกเราคงทราบ ถนนจะโล่งมาก แท็กซี่จะจอดไม่รับผู้โดยสารและหาที่แวะดูมวยกัน บ้านผมเป็นหนึ่งในสถานที่นั้น”””””


ในขณะที่ผมซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 15 ปี ก็ได้ร่วมนั่งเชียร์เขาทรายอยู่กับบรรดาแขกขาประจำจำนวนมาก บรรยากาศการเชียร์ในวันนั้น คงหาไม่ได้ในวันที่นักมวยไทย ไม่มีของจริง เหลืออยู่แล้ว ในวันนี้

ผมเป็นแฟนประจำและเป็นเจ้าบ้านก็เชียร์ออกรสชาติเต็มที่ แต่ดวงคนมันต้องเข้าวงการนักเลง ยังไงมันก็หนีไม่พ้น เขาทรายชกยังไม่ทันจบ เพื่อนผมคนนึง ชื่อ ใหญ่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ วิ่งหน้าตื่น เข้ามาตามผมที่ร้าน ทำเอากองเชียร์ รวมทั้งพ่อผม หันมามองตาเขียวเลยไอ้เล็กพี่กูโดนแทงตำรวจจะแทงพี่กู.....

***************************************************
เพื่อให้แฟนๆที่ติดตามเรื่องราวของผม อ่านและเข้าใจได้ง่าย ผมขออนุญาติตัดภาพกลับมาอีกฝั่งนึง โดยไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวข้องกับ เขาทราย แกแล็คซี่ แต่อย่างใด แต่เกี่ยวข้องและเป็นมูลเหตุโดยตรงของเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนี้ อ้อ...ต้องขออภัยแฟนๆอีกครั้ง ขอตัดภาพซ้อนภาพอีกรอบ เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อยากเล่า เจ้าของค่ายแกแล็คซี่ในอดีตก็คือเจ้าของภัตตคารแกแล็คซี่ และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผมเอง ที่ Micro MBA จุฬาลงกรณ์ เมื่อเกือบ 16 ปีก่อนนะครับ / กลับมาที่มูลเหตุในตอนต้นนะครับ พี่ชายของไอ้ใหญ่ นี่เป็นนักเรียนนายร้อย ไม่รู้อยู่เหล่าไหน อะไร ยังไง เพราะผมความรู้น้อยไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนายร้อยทั้งสิ้น ทราบแต่เรียนนายร้อย กับคู่กรณีอีกฝั่งนึง เป็นตำรวจ ก็ไม่รู้อยู่ สน. ใดเช่นกัน ถึงรู้ผมก็ยืนยันยังไงก็ไม่บอกเด็ดขาดครับ ทั้งสองคนนี้ ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน สาวสวยคนนี้ชื่อ เหมียวเป็นสาวสวยย้ายมาอยู่ใหม่ ในย่านบ้านผม ย้ายมาพร้อมกับหนุ่มๆมากหน้าหลายตาที่ติดพัน แวะเวียนมาหา ไม่เว้นแต่ละวัน รวมทั้งไอ้ตำรวจหนุ่มคนนี้ด้วย เรื่องราวเป็นมายังไงผมไม่รู้และไม่ได้ไปมีส่วนร่วม ในเรื่องราวหึงหวงของพวกเขาเหล่านั้นเลย รู้จากไอ้ใหญ่ว่า พี่ชายมันเป็นนักเรียนนายร้อย ไปจีบผู้หญิงคนนี้ และเหมือนพ่อแม่ เค้ามีใจ เพราะดูดีมีอนาคต จึงอยากให้ลูกคบหา แต่ก็มีเขม่นกับตำรวจหนุ่มคนนี้

เรื่องเกิดขึ้นในขณะที่ผมไม่รู้ไม่เห็น เพราะอยู่คนละฝั่งถนนกัน มาทราบจากปากไอ้ใหญ่ ก็คือ พี่ชายมันโดนเอามีดจี๊คอ ให้ลงจากรถซูบารุ ลากให้ลงมาเคลียร์กันเรื่องผู้หญิงคนนี้ ที่บ้านผู้หญิง ซึ่งอยู่ซอยฝั่งตรงข้ามบ้านผม”””””

นี่ผมเกริ่นพอให้แฟนๆนึกภาพตามทัน และรู้ถึงมูลเหตุว่าเรื่องของเรื่องมันมาจากอะไรเท่านั้นนะครับ

ตอนนี้ เขาทรายก็กำลังไล่ทะลวงไส้ เบียง กวาง ชุง คู่ต่อสู้อยู่อย่างเมามันส์ ในทันทีที่ไส้คู่ชกเขาทรายกำลังจะขาด เสียงไอ้ใหญ่ก็ทะลุกลางจอมาเลยไอ้เล็กพี่กูโดนแทงตำรวจจะแทงพี่กู..... โดยอัตโนมัติ สมองผมสั่งการรวดเร็ว ผมมองหาเครื่องทุ่นแรงที่ใกล้ที่สุดทันที คว้าได้ชะแลงงัดตะปู วางอยู่หน้าบ้าน ก็วิ่งตามไอ้ใหญ่ไปทันที ไม่ช้ากว่ากัน เพื่อนรุ่นพี่ผมที่กินเหล้ามาด้วยกัน มีทั้งบางซ่อน ทั้งไทยยะ และลูกน้องพ่อผม กระโดดตามผมมาติดๆเลย

ผมวิ่งข้ามถนนมาอีกฝั่ง ด้วยความมุทะลุ ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่า เค้ามีปัญหาอะไรกัน เค้าจบปัญหากันไปแล้วหรือยัง หรือมันเกิดเรื่องจริงๆอย่างที่ไอ้ใหญ่ว่า หรือเปล่า เมื่อผมวิ่งข้ามฟากมาแล้ว ก็มีมอเตอร์ไซค์ลักษณะมอเตอร์ไซค์คล้ายมอเตอร์ไซค์สายตรวจขี่สวนออกมาจากในซอย แต่สังเกตเห็น คนขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ได้ใส่ชุดตำรวจ แต่ใส่เสื้อสีขาว และกางเกงสีน้ำตาลเท่านั้น ผมก็ไม่รู้อะไรมาก สติก็ไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว รู้สึกตาพร่ามัวไปหมด เลือดมันสูบฉีกเร็วมาก ไอ้ใหญ่ตะโกนบอก ไอ้เนี่ยะแหละแทงพี่กู เท่านั้นแหละ ผมเพียงอายุ 15 ปี แต่เหมือนมีปีศาจร้ายสิงร่างอยู่ กระโดดเข้าไปหวดด้วยชะแลงเต็มเหนี่ยวเลย คนขี่มอเตอร์ไซค์ก้มหลบได้ โดนเพียงเฉี่ยวหัว เท่านั้นแต่รถล้ม ล้อหมุนติ้วเลย คู่กรณีทิ้งรถรถมอเตอร์ไซค์ วิ่งหนีทันที และผมก็ไม่สนใจคนที่วิ่งหนี ซึ่งในขณะนั้นเห็นแล้วว่าเพื่อนรุ่นพี่ผม ช่วยกันยำตีนแล้ว ผมในวันที่ไร้วุฒิภาวะ ใช้ชะแลงตีเข้าไปที่มอเตอร์ไซค์ เป็นสิบๆครั้งจนร ถนั้นเละหมดแล้ว และพยายามจะมองหา คู่กรณีเพื่อจะระบายอารมณ์ความเคียดแค้นซึ่งไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ให้มันหมดๆไป ผมวิ่งถือชะแลงหวังจะทำอะไรซักอย่างให้ ปีศาจในตัวผมพอใจ แล้วออกๆไปซะ ผมเงื้อชะแลงตั้งใจจะตีไปที่ คู่กรณี .....


และในตอนนั้น ผมก็ได้เรียนรู้ถึง "ความกลัว" แบบสุดขีดของตัวเองเป็นครั้งแรก ผมได้ยินเสียงปืนนัดแรก ผ่านตัวไป แบบเหมือนกับว่ามันทะลุอกผมไปแล้วยังไงไม่รู้ ผมหยุดยืนนิ่งตัวแข็ง ก่อนที่กระสุนอีกนัดจะถูกปล่อยมา ดัง เปรี้ยงผมเห็นเต็มสองตาเลยครั้งนี้ คนที่ยิง ใส่ชุดตำรวจเต็มยศเลย มากับรถ 191 ยิงไม่ขึ้นฟ้า แต่กลับยิงลงพื้นในบริเวณขาผม แต่ไม่ได้เล็งมาที่ท่อนบนผม (ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ ไม่เห็นเหมือนในหนัง จนปัจจุบันผมก็ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ว่าทำไมต้องยิงลงพื้น) ผมยืนตัวเกร็ง ชะแลงหลุดจากมือแบบไม่รู้ตัว ผมเข้าใจโดยถ่องแท้ ถึงคำว่า ใจตกลงไปที่ตาตุ่มเลย ผมในขณะนั้นอยู่ในอาการนั้นเลย ไม่มีผิด มือ ขา ชาไปหมด เหมือนโลกหยุดหมุนชั่วคราว

และผมก็ถูกตำรวจ 191 ล็อกเอามือไพล่หลังใส่กุญแจมือ และจับขึ้นรถในทันที ในขณะที่เพื่อนๆรุ่นพี่ของผม ประสบการสูงแล้ว กระจายหายกันไปในพริบตา แว็ปเดียวหายเกลี้ยงเลย สถานการณ์นั้น เหลือเพียงผมคนเดียว กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 นาย และพ่อผม พี่ผม ยืนตาเขียวปั๊ด อยู่ไม่ห่างมากนัก เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตผม ที่พาผมเข้าวงการนี้แบบเต็มตัว ตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่ในความวุ่นวายของคืนนั้น ผมก็ยังมีความโชคดีอยู่ ที่ผมไม่ต้องเข้าไปนอนในห้องขัง คุณพ่อผมสามารถจบด้วยการเจรจากับเจ้าหน้าที่ 191 ได้ และนำตัวผมออกจากรถสายตรวจได้ ผมยังจำคำพูดของพี่ชายผมได้ดีในคืนนั้น ทุกวันนี้ก็ยังก้องอยู่ในหู ที่มึงทำเนี่ยะ เค้าไม่เรียกว่ากล้านะ เค้าเรียกว่าโง่ มึงทำเค้าที่นี่วันนี้ วันหน้าเค้าก็จะมาเอาคืน และถ้ามึงไม่อยู่ เค้ามาเอาคืนกับ พ่อ-แม่ มึงจะทำยังไงแต่วัยรุ่นที่บ้าเลือดอย่างพวกเรา ในวัยคะนองแบบนั้น คิดได้ซะที่ไหนล่ะครับ ก้าวต่อไปของผม มันหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าแต่แฟนๆที่ติดตามอ่านเรื่องราวของผม ยังอยากฟังและยังอยากให้ผมเล่านิทานของผมต่อหรือเปล่า .....

จากใจ

เล็ก 207 [23 ก.ย. 55 23:24]



      อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งคนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น