โดย เล็ก 207 16.11.2555
ผ่านเรื่องราวตึงเครียดจากเรื่องเล่าของผมมากันก็ตั้งหลายตอนแล้ว คราวนี้เรามาคุยกันเรื่องทั่วไป มั่งดีกว่ามั้ยครับ
เอาแบบทั่วไปจริงๆ เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น ไม่ตีกรอบ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้เรารู้จักตัวตนกันมากขึ้นกว่าเดิมซักหน่อย ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในมายาภาษาของผมจนถลำลึกกันจนเกินไป เราลองมาคุยเรื่องเล่าเก่าๆของคนแก่ๆ
ในแบบเวอร์ชั่น แบบสบายๆ แต่ได้แง่คิดกันบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ไม่เครียดกันจนเกินไป
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์ชายปิ๊
บุรณพนธ์รอบเช้า ที่เคยร่วมดื่มกินกันมาในวันนัดรวมพลครั้งก่อน ได้โทรหาผม
พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อนเก่า อย่าง บังมัด บัวขาว ทำให้ผมสามารถต่อยอดไปจนได้เบอร์
เต้ปัฐวิกรณ์ มาด้วย ก็ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ที่อุตส่าห์ช่วยเป็นธุระไปหาเบอร์โทรของเพื่อนเก่ามาให้ผมจนได้
และด้วยความดีใจ ผมก็โทรหาเพื่อนทั้งสองคนในวันถัดไปและนัดกัน
ในที่สุดก็ได้เจอกัน ทราบว่าลูกเพื่อนตอนนี้จบอาชีวะกันหมดแล้ว
ก็ทั้งดีใจทั้งใจหาย ไม่นึกว่าวันนึงตัวเองจะแก่ได้ขนาดนี้ !
เพื่อนเต้ของผมในวันนี้ ยังตัวใหญ่ขาโก่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ใส่แว่นตาดำ เหมือนสมัยเรียนบุรณพนธ์ หากแต่ที่ไม่คุ้นเคยก็คือกางเกงยีนส์ลีวาย
501 ตัวเก่งที่เคยใส่ประจำมาถึงตอนนี้แม้แต่ขาก็ยัดไม่เข้าแล้ว
เพื่อนเต้ของผมออกจะท้วมขึ้นเล็กน้อยจนถึงปานกลาง
เพื่อนเต้ในวันเก่าๆมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง
รู้สึกว่าผมจะเคยเล่าเล็กน้อยไปแล้ว ในตอนก่อนๆ
ความสนิทของผมกับเพื่อนเต้นั้น นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็ยังทำงานด้วยกัน
ชอบคล้ายๆกัน ทำธุรกิจเล็กๆด้วยกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือ เพื่อนเต้ ไม่ดื่มเหล้า
ส่วนผมนั้นดื่มชนิดที่เรียกว่า “ผลาญ” ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดในชีวิตการทำงานบริษัทฯของผม
ผมเคยโดนเจ้าของบริษัทฯเรียกให้เข้าไปชี้แจงกรณีบิลค่าเหล้า
(เหล้าอย่างเดียวนะครับ) เป็นบิลค่าเหล้าที่สั่งซื้อจากห้างโมเดิร์นเทรดทั่วไป
ทุกเดือน เพื่อเก็บไว้เลี้ยงดูปูเสื่อลูกค้า 1 ปี มียอดสูงรวมถึง 1 ล้านบาททีเดียว
เฉลี่ยเดือนละเกือบแสนบาท
นี่ยังไม่นับรวมค่าเปิดขวด ค่ากับแกล้ม ค่าโคโยตี้ ค่าพีอาร์
ค่าอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด ฯลฯ ผมจึงจำกัดความตัวเองว่าดื่มแบบพวกล้างผลาญ
เอ้าต่อนะครับ....เพื่อนเต้นั้นไม่ดื่มเหล้า แต่ที่เพื่อนเต้นั้นถือว่า เซียนมากๆ
คือเรื่อง “จีบหญิง” และก็เพราะเรื่องนี้แหละ ผมและสหาย 207 เคยต้องออกแรงช่วยเพื่อนเต้ถึงสองครั้งสองหน
ตัวอย่างนึงก็คือ เพื่อนเต้
นั้นมีแฟนเรียนที่พาณิชยการธัชรินทร์ และต้องไปรับแฟนตอนโรงเรียนเลิกช่วง 3
ทุ่มกว่าๆทุกวัน และเพื่อนก็ฉายเดี่ยวตลอด
จนโดนกลุ่มเด็กธัชรินทร์รอบค่ำกลุ่มใหญ่
ดักรุมกระทืบและก็เกือบเสียฟอร์มหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ด้วยความรักครับ
ฝ่าดงตีนไปรับแฟนก็ยอมว่างั้นเถอะ
จนท้ายที่สุดเพื่อนเต้ก็มาปรึกษากับกลุ่ม 207 ขอให้ช่วยชำระแค้นให้
และก็แน่นอนล่ะครับ เรื่องแบบนี้คนก็มักจะโยนกันเข้ามาที่ 207 ซึ่งพวกเราก็จัดให้ไม่เคยขาด
งานนี้จัดให้ที่ป้ายรถเมล์ซอยลาดพร้าว 48 หน้าโรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์
ผมจะไม่เล่าเรื่องสภาพเหยื่อนะครับ เพราะวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องเบาๆสบายๆเดี๋ยวจะเสียบรรยากาศ...
อ้อ.... ระหว่างผมกำลังพิมพิ์เรื่องเล่าในตอนนี้อยู่
(ผมเขียนเรื่องเล่าตอนนี้ในวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2555 เวลา 20.30น.) ก็พอดีเพื่อน
ฉ่อย ช.ก. 56 ประธานกลุ่ม Gold
Gear Club ก็โทรเข้ามาพอดี บอกว่าเพิ่งกลับจากไปค่ายอาสา
พอ.สว.ที่ จ.น่าน มา ก็พอดีอีกที่นั่งดื่มอยู่กับรุ่นน้องที่ช่างมีนฯ
ซึ่งกำลังเรียน ปวส อิเล็คฯ ปีสุดท้ายอยู่และรู้จักผม เล็ก207
ผ่านบอร์ดของน้องวัจน์ BU20 แห่งนี้ด้วย เอ้า!ก็ขอต้อนรับเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น
ณ โอกาสนี้ก็แล้วกันนะครับ
และผมก็อยากใช้โอกาสเดียวกันนี้ขอโมทนาสาธุกับกิจกรรมดีๆเพื่อสังคมที่เพื่อนผมและสมาชิก
Gold Gear Club ทุกท่านได้ทำกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนะครับ
บุญกุศลอันใดที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมสร้างกันก็ขอให้ส่งผลถึงตัวท่านและครอบครัวตลอดจนคนที่ท่านรักนะครับ สำคัญที่สุดการออกค่ายอาสาครั้งนี้ก็ไปกับกลุ่ม
U-Navigator ของศิษย์เก่าอุเทนถวายซะด้วย
เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างกันและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่รุ่นน้องๆ ก็หวังว่ารุ่นน้องๆของทั้งสองสถาบันถ้าได้มีโอกาสเข้ามาอ่านก็ลองตั้งสติซักนิด และคิดพิจารณาเอาตามสติปัญญานะครับ
ผมไม่แม้แต่จะคิดชี้นำท่าน ท่านก็คิดกันเอาเองนะครับ
ว่ากันต่อ... ทีนี้ก็วกกลับมาที่ตัวผมบ้าง
เพราะบอกแล้วว่าจะเล่าเพื่อให้เรารู้จักกันมากขึ้น ก็ควรจะรู้จักกันทุกแง่มุมไปเลย ย้อนไปในวันเก่าๆ ชีวิตผมนั้นมีหลากหลายแง่มุม
โลดแล่น ได้แบบใครๆก็คาดไม่ถึง
ถึงผมจะเรียนที่บุรณพนธ์
แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารไปเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองถึงมาบุญครองโน่นแน่ะ ร้านผมตั้งอยู่บนชั้น 3 ฝั่งไทม์สแคว์
ซึ่งในยุคนั้น ใครมีร้านเสื้อผ้ามือสองอยู่มาบุญครอง ต้องถือว่าสุดยอดแล้ว ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นการทำธุรกิจ ก็แค่อยากขายผ้า
เท่ห์ๆ และก็สนุกกับการได้ดื่มกิน หลังปิดร้าน กับเพื่อนฝูงที่รู้หน้ารู้ใจ และเพื่อนฝูงที่ไม่รู้หน้าแต่รู้ใจ
ในช่วงท้ายๆของชีวิตอาชีวะ ผมก็ได้ขยายร้านเสื้อผ้ามือสองของผม
จากจตุจักร ไปมาบุญครอง จากมาบุญครองไปจนถึงอิมพิเรียลเวิล์ด ที่สำโรง
โดยช่วงนี้เองที่ผมเริ่มแยกตัวไม่ได้ขึ้นรถ 207 แล้ว แต่ใช้วิธีขี่ช็อปเปอร์ตามเพื่อนที่ขึ้นรถ
207 แทน บ่อยครั้งที่ผมเมาหลับร่วงอยู่ข้างๆช็อปเปอร์แต่ก็ไม่มีใครมาขโมยช็อปเปอร์ของผม
เว้นซะแต่หมาจะมาเยี่ยวใส่ แต่นั่นก็เป็นปกติของผม
ในช่วงนั้น เพื่อนที่บุรณพนธ์หลายคน ก็เคยได้ร่วมดื่มกินกับผมที่หลังจตุจักร
หลังผมปิดร้านแล้ว บรรยากาศคงไม่ต้องบรรยาย แมงวันแม่กลองก็ยังคงรำลึกถึงวันชื่นคืนสุขอยู่บ่อยครั้ง
และบางคนก็ได้ร่วมดื่มกินกันที่ร้าน 1950 ที่มาบุญครองในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งผมจะอยู่ที่ร้านมาบุญครอง ก็มีอยู่ครั้งที่ผมพาเพื่อนบุรณพนธ์ไปกินเหล้ากันที่ร้าน
1950 ที่มาบุญครอง จนลูกค้าโต๊ะอื่นลุกหนีกันไปหมด เพราะนักดนตรีก็เล่นดนตรีไม่ได้ ก็เก่งดำเนิน เล่นร้องเพลง BU ซะดังลั่นร้าน ในขณะที่วงดนตรีเล่นเพลงสากลยุคปี 80 แน่นอนว่ามันสร้างความโกลาหล ได้พอสมควร จนมีคำพูดค่อนขอดถึงพวกเราจากบรรดาพ่อค้า-แม่ค้าที่มาบุญครองในโซนเดียวกันว่า
“บุรณพนธ์ไปที่ไหนก็บรรลัยที่นั่น” ก็เห็นจะจริง
คนในยุคเดียวกันกับผม หรือ บวก/ลบ 5 ปี
คงจะทัน Cobongo Pub, Blue Jeans, Saxophone และ Rock Pub ซึ่งเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผมเองก็ตระเวนกินดื่มอยู่ย่านนี้เป็นประจำ ใช้ช็อปเปอร์ของผมเป็นตัวหลอก สับขาหลอก
ขาไปก็ให้เพื่อนซ้อน ขากลับก็ถีบเพื่อนลง เป็นแบบนี้อยู่ประจำ ส่วนจะทำไมยังไง ก็ต้องขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ นะครับท่านคิดกันเองได้
/ ชีวิตผมช่วงจันทร์-ศุกร์ ก็จะคลุกอยู่กับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน
ไปไหนไปกัน สนุก เมา มันส์ เป็นแบบนี้ทุกวัน
โปรแกรมการตีรันฟันแทง ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมบันเทิงของพวกเรา
ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ผมก็จะมีอีกชีวิตนึงเป็นพ่อค้าผ้ามือสอง อยู่ที่จตุจักร มาบุญครอง และอิมพีเรียลสำโรง
ตามแต่ว่าวันไหนอยากจะเข้าร้านไหน ในช่วงที่เราขายผ้าอยู่มาบุญครองก็มีไม่ถูกกับกลุ่มของมอริสเค ซึ่งมีเด็กอุเทนถวาย เด็กศรีปทุมฯ รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แต่ส่วนตัวแล้วเวลาผมอยู่ร้านก็ไม่เคยมีปัญหากันนะครับ
แต่เวลาไม่อยู่ร้านทีไร ไอ้เจ้าชายกบ ก็มักจะมาเล่าว่ามีเรื่องกับกลุ่มมอริสเคเป็นประจำ
ซึ่งเมื่อผมไปถึงร้าน
ก็จะเดินไปที่ร้านของเด็กกลุ่มนี้เพื่อดูปฏิกิริยาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ไอ้ครั้นจะเข้าไปหาเรื่องเค้าเลยมันก็ไม่ได้
พ่อค้าด้วยกัน แค่เดินไปพวกเค้าส่งยิ้มมามันก็ต้องจบแล้วครับ
แถมกลุ่มนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกับ ไอ้แหลมราม 2 เด็กบุรณพนธ์ เพื่อนซี้ของผมอีกต่างหาก
ก็ไม่มีอะไรครับ เล่าเอาไว้เป็นบันทึกครับ เผื่อมีการอ้างถึงกันในอนาคต
และถ้าผมจะพูดถึงยุคสมัยโดยที่ไม่ได้มีอะไรมาอ้างอิงให้ได้เทียบเคียงก็ดูจะสะเปะสะปะไปหน่อย ดังนั้นผมจึงขออนุญาติพูดถึงยุคของผม โดยใช้เพลงเป็นตัวเทียบยุคก็แล้วกันนะครับ
เป็นสากลดี ในยุคนั้นก็มีเพลงดังแห่งยุคอยู่มากมายหลายร้อยเพลง
แต่เพลงไทยที่จัดเป็นเพลงไม้ตายที่กลุ่ม BU207 รอบค่ำยึดเอาไว้เป็นเพลงเก่ง ในการร้องโชว์สาว
ขาล่องรถกลับจากวัดศรีเอี่ยมไปแฮปปี้แลนด์ ก็คือเพลง “สัญญาหน้าฝน” ของวงคาราบาว ซึ่งหลายต่อหลายครั้งมันได้ผลดีทีเดียว เพื่อนสายอื่นที่เรียนทันรุ่นกัน ก็คงเคยได้ร่วมร้องเพลงดังแห่งยุคเพลงนี้พร้อมกันกับผมและเพื่อนมาแล้ว ส่วนเพลงสากลก็มีที่นิยมอยู่หลายร้อยเพลงเช่นเดียวกัน
แต่ผมขอถือวิสาสะเลือกเอาหนึ่งเพลง ไว้เป็นเพลงเอกในช่วงนั้นแล้วกันนะครับ และก็เห็นจะต้องเป็นเพลง
“Knockin On Heaven’s Door” ไม่ว่าจะเวอร์ชั่น Guns
n’ Roses หรือ เวอร์ชั่น Eric
Clapton ผมก็เชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่นี่คงเคยฟังกัน ในเนื้อเพลงพูดถึง ความเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเส็งเคร็ง
ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับราคะอันรุ่งริ่ง และการจะรักษาชีวิตให้อยู่รอดอย่างคนปกติจนถึงทุกวันนี้นั้นนี่มันช่างยากแสนยากและโชคไม่เคยยืนอยู่ข้างเราเลย เหมือนตัวเองกำลังเคาะประตูสวรรค์อยู่ทุกขณะ
เพลงนี้ทำให้ผม
ได้มีโอกาสย้อนมองตัวเองกลับมาได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ชีวิตผมมันก็เต็มไปด้วยราคะ
เต็มไปด้วยความลุ่มหลง มัวเมา สิ่งผิดทุกชนิดผมรับรักเหมือนคนหนุ่มเมื่อมีรักแรก
สารพัดสิ่งที่รุมล้อมและพร้อมจะดึงผมลงเหว
ผมก็หลงรักและกวักมือเรียกหามันเองทั้งหมด และถึงเมื่อวันหนึ่งเมื่อผมต้องการชีวิตใหม่ กลับไม่มีคนให้โอกาส กลับกลายเป็นว่าผมนั้นเป็นเสมือนสิ่งแปลกแยกจากสังคมและสิ่งรอบข้าง
เพื่อนฝูงที่รู้จักมักคุ้นรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่ผมพยายามจะเป็น
ส่วนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันก็ไม่ยอมรับในอดีตที่ผมเคยเป็น จนหลายต่อหลายครั้งผมเกือบจะไปเคาะประตูสวรรค์อยู่รอมร่อ
และพวกท่านทั้งหลาย ที่อยู่รอดปลอดภัย
อยู่กันมาจนถึงวันที่ท่านได้มานั่งอ่านเรื่องสั้นของผมในวันนี้ พวกท่านก็คงผ่านการ Khockin on Heaven’s
Doors กันมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ผมเชื่อเช่นนั้น ....
ว่าแต่ว่า นี่ผมเล่าสะเปะสะปะเกินไปหรือเปล่าวันนี้
ก็เอาเป็นว่า....ท่านก็อย่าได้ตำหนิกันแล้วกันนะครับ
เมื่อรักกันแล้วก็อย่าได้ตำหนิกัน
เพราะตัวตนของผมก็ไม่ห่างจากคำว่าสะเปะสะปะซักเท่าไหร่
เล่ามาทั้งหมดก็เป็นอะไรที่ถือว่าเล่ากันสบายๆสนุกๆ ซักสัปดาห์นะครับและสัปดาห์หน้าจะจัดหนักให้
ยังไงซะ ผมก็ยังคงเป็นผมคนเดิม เป็นเล็ก
207 ไม่เปลี่ยน เป็น เล็ก207 ผู้ที่อยากให้ท่านที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่านเรื่องเล่าในตอนนี้ของผม
ได้พิจารณาตีความหมายและเข้าใจถึงหัวใจของเพลง Khockin On Heaven’s Door และเป็นชื่อเรื่องของเรื่องสั้นของผมในตอนนี้ให้ดี เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่าน้องๆในยุคนี้ ซึ่งแน่นอน มันกำลังเป็นยุคของพวกเค้า พวกเค้าในขณะนี้ซึ่งกำลังขาดคนที่คอยจะชี้นำทาง
ให้ทำในสิ่งถูก ขาดอย่างรุนแรง ก็ด้วยสังคมและภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว
ทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ตอนนี้จะมีพวกเค้าซักกี่ร้อยกี่พันคนที่กำลังยืนเคาะประตูสวรรค์กันอยู่อาจจะมากกว่าพันอาจจะเป็นหมื่นคน
ตามแต่สภาพแวดล้อมและสังคมจะพาพวกเค้าไป
ผมอยากให้ท่านได้เข้าใจเอาไว้ว่าซักวัน พวกเค้าก็จะมานั่งแทนที่พวกเราและนั่งเล่าเรื่องในลักษณะเดียวกันให้คนรุ่นต่อๆไปฟังกัน
แต่นั่นต้องหมายถึงเฉพาะคนที่ประตูสวรรค์ไม่เปิดรับพวกเค้าเท่านั้นนะครับ
พวกเค้าจึงจะรอดมาทำหน้าที่แทนพวกเราต่อได้
แต่ผมก็ยังอยากให้พวกเค้า
ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนของพวกเราในวันข้างหน้าต้องระวังกันให้จงหนัก เพราะแม้ประตูสวรรค์จะไม่เปิดรับพวกเค้าในวันนี้
แต่......
ประตูนรกยังคงเปิดรออยู่ทุกวัน และไม่เลือกว่าจะเป็น
“พวกเค้า” หรือว่า “พวกเรา”
สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี
จากใจ
เล็ก 207 อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น