วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า ตอนที่ 6 - Knockin On Heaven’s Door

Knockin On Heavens Door
โดย เล็ก 207 16.11.2555

 
ผ่านเรื่องราวตึงเครียดจากเรื่องเล่าของผมมากันก็ตั้งหลายตอนแล้ว  คราวนี้เรามาคุยกันเรื่องทั่วไป มั่งดีกว่ามั้ยครับ เอาแบบทั่วไปจริงๆ เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น ไม่ตีกรอบ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้เรารู้จักตัวตนกันมากขึ้นกว่าเดิมซักหน่อย  ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในมายาภาษาของผมจนถลำลึกกันจนเกินไป  เราลองมาคุยเรื่องเล่าเก่าๆของคนแก่ๆ ในแบบเวอร์ชั่น แบบสบายๆ แต่ได้แง่คิดกันบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ไม่เครียดกันจนเกินไป

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์ชายปิ๊ บุรณพนธ์รอบเช้า ที่เคยร่วมดื่มกินกันมาในวันนัดรวมพลครั้งก่อน ได้โทรหาผม พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อนเก่า อย่าง บังมัด บัวขาว ทำให้ผมสามารถต่อยอดไปจนได้เบอร์ เต้ปัฐวิกรณ์ มาด้วย ก็ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง ที่อุตส่าห์ช่วยเป็นธุระไปหาเบอร์โทรของเพื่อนเก่ามาให้ผมจนได้  และด้วยความดีใจ ผมก็โทรหาเพื่อนทั้งสองคนในวันถัดไปและนัดกัน ในที่สุดก็ได้เจอกัน  ทราบว่าลูกเพื่อนตอนนี้จบอาชีวะกันหมดแล้ว ก็ทั้งดีใจทั้งใจหาย ไม่นึกว่าวันนึงตัวเองจะแก่ได้ขนาดนี้ !

เพื่อนเต้ของผมในวันนี้ ยังตัวใหญ่ขาโก่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ใส่แว่นตาดำ เหมือนสมัยเรียนบุรณพนธ์ หากแต่ที่ไม่คุ้นเคยก็คือกางเกงยีนส์ลีวาย 501 ตัวเก่งที่เคยใส่ประจำมาถึงตอนนี้แม้แต่ขาก็ยัดไม่เข้าแล้ว เพื่อนเต้ของผมออกจะท้วมขึ้นเล็กน้อยจนถึงปานกลาง  เพื่อนเต้ในวันเก่าๆมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง รู้สึกว่าผมจะเคยเล่าเล็กน้อยไปแล้ว ในตอนก่อนๆ  ความสนิทของผมกับเพื่อนเต้นั้น นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็ยังทำงานด้วยกัน ชอบคล้ายๆกัน ทำธุรกิจเล็กๆด้วยกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือ เพื่อนเต้ ไม่ดื่มเหล้า ส่วนผมนั้นดื่มชนิดที่เรียกว่า ผลาญ   ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดในชีวิตการทำงานบริษัทฯของผม  ผมเคยโดนเจ้าของบริษัทฯเรียกให้เข้าไปชี้แจงกรณีบิลค่าเหล้า (เหล้าอย่างเดียวนะครับ) เป็นบิลค่าเหล้าที่สั่งซื้อจากห้างโมเดิร์นเทรดทั่วไป ทุกเดือน เพื่อเก็บไว้เลี้ยงดูปูเสื่อลูกค้า 1 ปี มียอดสูงรวมถึง 1 ล้านบาททีเดียว เฉลี่ยเดือนละเกือบแสนบาท  นี่ยังไม่นับรวมค่าเปิดขวด ค่ากับแกล้ม ค่าโคโยตี้ ค่าพีอาร์ ค่าอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด ฯลฯ ผมจึงจำกัดความตัวเองว่าดื่มแบบพวกล้างผลาญ

เอ้าต่อนะครับ....เพื่อนเต้นั้นไม่ดื่มเหล้า   แต่ที่เพื่อนเต้นั้นถือว่า เซียนมากๆ คือเรื่อง จีบหญิงและก็เพราะเรื่องนี้แหละ ผมและสหาย 207 เคยต้องออกแรงช่วยเพื่อนเต้ถึงสองครั้งสองหน  ตัวอย่างนึงก็คือ เพื่อนเต้ นั้นมีแฟนเรียนที่พาณิชยการธัชรินทร์ และต้องไปรับแฟนตอนโรงเรียนเลิกช่วง 3 ทุ่มกว่าๆทุกวัน  และเพื่อนก็ฉายเดี่ยวตลอด จนโดนกลุ่มเด็กธัชรินทร์รอบค่ำกลุ่มใหญ่ ดักรุมกระทืบและก็เกือบเสียฟอร์มหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ด้วยความรักครับ ฝ่าดงตีนไปรับแฟนก็ยอมว่างั้นเถอะ  จนท้ายที่สุดเพื่อนเต้ก็มาปรึกษากับกลุ่ม 207 ขอให้ช่วยชำระแค้นให้ และก็แน่นอนล่ะครับ เรื่องแบบนี้คนก็มักจะโยนกันเข้ามาที่ 207 ซึ่งพวกเราก็จัดให้ไม่เคยขาด งานนี้จัดให้ที่ป้ายรถเมล์ซอยลาดพร้าว 48 หน้าโรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์ ผมจะไม่เล่าเรื่องสภาพเหยื่อนะครับ เพราะวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องเบาๆสบายๆเดี๋ยวจะเสียบรรยากาศ...

อ้อ.... ระหว่างผมกำลังพิมพิ์เรื่องเล่าในตอนนี้อยู่ (ผมเขียนเรื่องเล่าตอนนี้ในวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2555 เวลา 20.30น.) ก็พอดีเพื่อน ฉ่อย ช.ก. 56  ประธานกลุ่ม Gold Gear Club ก็โทรเข้ามาพอดี บอกว่าเพิ่งกลับจากไปค่ายอาสา พอ.สว.ที่ จ.น่าน มา  ก็พอดีอีกที่นั่งดื่มอยู่กับรุ่นน้องที่ช่างมีนฯ ซึ่งกำลังเรียน ปวส อิเล็คฯ ปีสุดท้ายอยู่และรู้จักผม เล็ก207 ผ่านบอร์ดของน้องวัจน์ BU20 แห่งนี้ด้วย   เอ้า!ก็ขอต้อนรับเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น ณ โอกาสนี้ก็แล้วกันนะครับ  และผมก็อยากใช้โอกาสเดียวกันนี้ขอโมทนาสาธุกับกิจกรรมดีๆเพื่อสังคมที่เพื่อนผมและสมาชิก Gold Gear Club ทุกท่านได้ทำกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนะครับ บุญกุศลอันใดที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมสร้างกันก็ขอให้ส่งผลถึงตัวท่านและครอบครัวตลอดจนคนที่ท่านรักนะครับ  สำคัญที่สุดการออกค่ายอาสาครั้งนี้ก็ไปกับกลุ่ม U-Navigator ของศิษย์เก่าอุเทนถวายซะด้วย เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างกันและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่รุ่นน้องๆ ก็หวังว่ารุ่นน้องๆของทั้งสองสถาบันถ้าได้มีโอกาสเข้ามาอ่านก็ลองตั้งสติซักนิด  และคิดพิจารณาเอาตามสติปัญญานะครับ ผมไม่แม้แต่จะคิดชี้นำท่าน ท่านก็คิดกันเอาเองนะครับ

ว่ากันต่อ...   ทีนี้ก็วกกลับมาที่ตัวผมบ้าง เพราะบอกแล้วว่าจะเล่าเพื่อให้เรารู้จักกันมากขึ้น ก็ควรจะรู้จักกันทุกแง่มุมไปเลย   ย้อนไปในวันเก่าๆ ชีวิตผมนั้นมีหลากหลายแง่มุม โลดแล่น ได้แบบใครๆก็คาดไม่ถึง  ถึงผมจะเรียนที่บุรณพนธ์ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ถ่อสังขารไปเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองถึงมาบุญครองโน่นแน่ะ  ร้านผมตั้งอยู่บนชั้น 3 ฝั่งไทม์สแคว์ ซึ่งในยุคนั้น ใครมีร้านเสื้อผ้ามือสองอยู่มาบุญครอง ต้องถือว่าสุดยอดแล้ว  ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นการทำธุรกิจ ก็แค่อยากขายผ้า เท่ห์ๆ และก็สนุกกับการได้ดื่มกิน หลังปิดร้าน กับเพื่อนฝูงที่รู้หน้ารู้ใจ และเพื่อนฝูงที่ไม่รู้หน้าแต่รู้ใจ

ในช่วงท้ายๆของชีวิตอาชีวะ ผมก็ได้ขยายร้านเสื้อผ้ามือสองของผม จากจตุจักร ไปมาบุญครอง จากมาบุญครองไปจนถึงอิมพิเรียลเวิล์ด ที่สำโรง โดยช่วงนี้เองที่ผมเริ่มแยกตัวไม่ได้ขึ้นรถ 207 แล้ว แต่ใช้วิธีขี่ช็อปเปอร์ตามเพื่อนที่ขึ้นรถ 207 แทน   บ่อยครั้งที่ผมเมาหลับร่วงอยู่ข้างๆช็อปเปอร์แต่ก็ไม่มีใครมาขโมยช็อปเปอร์ของผม เว้นซะแต่หมาจะมาเยี่ยวใส่ แต่นั่นก็เป็นปกติของผม 

ในช่วงนั้น เพื่อนที่บุรณพนธ์หลายคน ก็เคยได้ร่วมดื่มกินกับผมที่หลังจตุจักร หลังผมปิดร้านแล้ว บรรยากาศคงไม่ต้องบรรยาย แมงวันแม่กลองก็ยังคงรำลึกถึงวันชื่นคืนสุขอยู่บ่อยครั้ง และบางคนก็ได้ร่วมดื่มกินกันที่ร้าน 1950 ที่มาบุญครองในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  ซึ่งผมจะอยู่ที่ร้านมาบุญครอง    ก็มีอยู่ครั้งที่ผมพาเพื่อนบุรณพนธ์ไปกินเหล้ากันที่ร้าน 1950 ที่มาบุญครอง จนลูกค้าโต๊ะอื่นลุกหนีกันไปหมด เพราะนักดนตรีก็เล่นดนตรีไม่ได้  ก็เก่งดำเนิน เล่นร้องเพลง BU ซะดังลั่นร้าน ในขณะที่วงดนตรีเล่นเพลงสากลยุคปี 80  แน่นอนว่ามันสร้างความโกลาหล ได้พอสมควร  จนมีคำพูดค่อนขอดถึงพวกเราจากบรรดาพ่อค้า-แม่ค้าที่มาบุญครองในโซนเดียวกันว่า บุรณพนธ์ไปที่ไหนก็บรรลัยที่นั่นก็เห็นจะจริง

คนในยุคเดียวกันกับผม หรือ บวก/ลบ 5 ปี คงจะทัน Cobongo Pub, Blue Jeans, Saxophone และ Rock Pub  ซึ่งเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ผมเองก็ตระเวนกินดื่มอยู่ย่านนี้เป็นประจำ  ใช้ช็อปเปอร์ของผมเป็นตัวหลอก  สับขาหลอก  ขาไปก็ให้เพื่อนซ้อน ขากลับก็ถีบเพื่อนลง เป็นแบบนี้อยู่ประจำ ส่วนจะทำไมยังไง  ก็ต้องขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ นะครับท่านคิดกันเองได้ /    ชีวิตผมช่วงจันทร์-ศุกร์ ก็จะคลุกอยู่กับเพื่อนทั้งวันทั้งคืน ไปไหนไปกัน สนุก เมา มันส์ เป็นแบบนี้ทุกวัน  โปรแกรมการตีรันฟันแทง ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมบันเทิงของพวกเรา 

ส่วนเสาร์-อาทิตย์  ผมก็จะมีอีกชีวิตนึงเป็นพ่อค้าผ้ามือสอง  อยู่ที่จตุจักร มาบุญครอง และอิมพีเรียลสำโรง ตามแต่ว่าวันไหนอยากจะเข้าร้านไหน  ในช่วงที่เราขายผ้าอยู่มาบุญครองก็มีไม่ถูกกับกลุ่มของมอริสเค  ซึ่งมีเด็กอุเทนถวาย  เด็กศรีปทุมฯ รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย  แต่ส่วนตัวแล้วเวลาผมอยู่ร้านก็ไม่เคยมีปัญหากันนะครับ แต่เวลาไม่อยู่ร้านทีไร ไอ้เจ้าชายกบ ก็มักจะมาเล่าว่ามีเรื่องกับกลุ่มมอริสเคเป็นประจำ ซึ่งเมื่อผมไปถึงร้าน  ก็จะเดินไปที่ร้านของเด็กกลุ่มนี้เพื่อดูปฏิกิริยาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไร  ไอ้ครั้นจะเข้าไปหาเรื่องเค้าเลยมันก็ไม่ได้ พ่อค้าด้วยกัน แค่เดินไปพวกเค้าส่งยิ้มมามันก็ต้องจบแล้วครับ แถมกลุ่มนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกับ ไอ้แหลมราม 2 เด็กบุรณพนธ์ เพื่อนซี้ของผมอีกต่างหาก ก็ไม่มีอะไรครับ เล่าเอาไว้เป็นบันทึกครับ เผื่อมีการอ้างถึงกันในอนาคต

และถ้าผมจะพูดถึงยุคสมัยโดยที่ไม่ได้มีอะไรมาอ้างอิงให้ได้เทียบเคียงก็ดูจะสะเปะสะปะไปหน่อย  ดังนั้นผมจึงขออนุญาติพูดถึงยุคของผม โดยใช้เพลงเป็นตัวเทียบยุคก็แล้วกันนะครับ เป็นสากลดี  ในยุคนั้นก็มีเพลงดังแห่งยุคอยู่มากมายหลายร้อยเพลง แต่เพลงไทยที่จัดเป็นเพลงไม้ตายที่กลุ่ม BU207 รอบค่ำยึดเอาไว้เป็นเพลงเก่ง ในการร้องโชว์สาว ขาล่องรถกลับจากวัดศรีเอี่ยมไปแฮปปี้แลนด์ ก็คือเพลง สัญญาหน้าฝนของวงคาราบาว   ซึ่งหลายต่อหลายครั้งมันได้ผลดีทีเดียว  เพื่อนสายอื่นที่เรียนทันรุ่นกัน ก็คงเคยได้ร่วมร้องเพลงดังแห่งยุคเพลงนี้พร้อมกันกับผมและเพื่อนมาแล้ว   ส่วนเพลงสากลก็มีที่นิยมอยู่หลายร้อยเพลงเช่นเดียวกัน แต่ผมขอถือวิสาสะเลือกเอาหนึ่งเพลง ไว้เป็นเพลงเอกในช่วงนั้นแล้วกันนะครับ และก็เห็นจะต้องเป็นเพลง Knockin On Heaven’s Door”  ไม่ว่าจะเวอร์ชั่น Guns n’ Roses หรือ เวอร์ชั่น Eric Clapton ผมก็เชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่นี่คงเคยฟังกัน  ในเนื้อเพลงพูดถึง ความเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเส็งเคร็ง ชีวิตที่ต้องต่อสู้กับราคะอันรุ่งริ่ง และการจะรักษาชีวิตให้อยู่รอดอย่างคนปกติจนถึงทุกวันนี้นั้นนี่มันช่างยากแสนยากและโชคไม่เคยยืนอยู่ข้างเราเลย  เหมือนตัวเองกำลังเคาะประตูสวรรค์อยู่ทุกขณะ

เพลงนี้ทำให้ผม ได้มีโอกาสย้อนมองตัวเองกลับมาได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ชีวิตผมมันก็เต็มไปด้วยราคะ เต็มไปด้วยความลุ่มหลง มัวเมา สิ่งผิดทุกชนิดผมรับรักเหมือนคนหนุ่มเมื่อมีรักแรก สารพัดสิ่งที่รุมล้อมและพร้อมจะดึงผมลงเหว  ผมก็หลงรักและกวักมือเรียกหามันเองทั้งหมด  และถึงเมื่อวันหนึ่งเมื่อผมต้องการชีวิตใหม่ กลับไม่มีคนให้โอกาส  กลับกลายเป็นว่าผมนั้นเป็นเสมือนสิ่งแปลกแยกจากสังคมและสิ่งรอบข้าง เพื่อนฝูงที่รู้จักมักคุ้นรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่ผมพยายามจะเป็น ส่วนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันก็ไม่ยอมรับในอดีตที่ผมเคยเป็น  จนหลายต่อหลายครั้งผมเกือบจะไปเคาะประตูสวรรค์อยู่รอมร่อ

และพวกท่านทั้งหลาย ที่อยู่รอดปลอดภัย อยู่กันมาจนถึงวันที่ท่านได้มานั่งอ่านเรื่องสั้นของผมในวันนี้  พวกท่านก็คงผ่านการ Khockin on Heaven’s Doors กันมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ผมเชื่อเช่นนั้น ....

ว่าแต่ว่า นี่ผมเล่าสะเปะสะปะเกินไปหรือเปล่าวันนี้  ก็เอาเป็นว่า....ท่านก็อย่าได้ตำหนิกันแล้วกันนะครับ  เมื่อรักกันแล้วก็อย่าได้ตำหนิกัน เพราะตัวตนของผมก็ไม่ห่างจากคำว่าสะเปะสะปะซักเท่าไหร่ เล่ามาทั้งหมดก็เป็นอะไรที่ถือว่าเล่ากันสบายๆสนุกๆ ซักสัปดาห์นะครับและสัปดาห์หน้าจะจัดหนักให้

ยังไงซะ ผมก็ยังคงเป็นผมคนเดิม เป็นเล็ก 207 ไม่เปลี่ยน  เป็น เล็ก207 ผู้ที่อยากให้ท่านที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่านเรื่องเล่าในตอนนี้ของผม ได้พิจารณาตีความหมายและเข้าใจถึงหัวใจของเพลง Khockin On Heaven’s Door และเป็นชื่อเรื่องของเรื่องสั้นของผมในตอนนี้ให้ดี  เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่าน้องๆในยุคนี้  ซึ่งแน่นอน มันกำลังเป็นยุคของพวกเค้า พวกเค้าในขณะนี้ซึ่งกำลังขาดคนที่คอยจะชี้นำทาง ให้ทำในสิ่งถูก ขาดอย่างรุนแรง ก็ด้วยสังคมและภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว  ทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ตอนนี้จะมีพวกเค้าซักกี่ร้อยกี่พันคนที่กำลังยืนเคาะประตูสวรรค์กันอยู่อาจจะมากกว่าพันอาจจะเป็นหมื่นคน   ตามแต่สภาพแวดล้อมและสังคมจะพาพวกเค้าไป

ผมอยากให้ท่านได้เข้าใจเอาไว้ว่าซักวัน พวกเค้าก็จะมานั่งแทนที่พวกเราและนั่งเล่าเรื่องในลักษณะเดียวกันให้คนรุ่นต่อๆไปฟังกัน  แต่นั่นต้องหมายถึงเฉพาะคนที่ประตูสวรรค์ไม่เปิดรับพวกเค้าเท่านั้นนะครับ พวกเค้าจึงจะรอดมาทำหน้าที่แทนพวกเราต่อได้   แต่ผมก็ยังอยากให้พวกเค้า ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนของพวกเราในวันข้างหน้าต้องระวังกันให้จงหนัก เพราะแม้ประตูสวรรค์จะไม่เปิดรับพวกเค้าในวันนี้ แต่......

ประตูนรกยังคงเปิดรออยู่ทุกวัน และไม่เลือกว่าจะเป็น พวกเค้าหรือว่า พวกเรา

สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี

จากใจ
เล็ก 207

 

    อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น