วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องสั้น ตอนที่ 5 - โทษของความโกรธ

โทษของความโกรธ
โดย เล็ก 207 วันที่  11.11.2555



ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย ไปยังครอบครัวของน้องนักเรียนอาชีวะที่ถูกยิงเสียชีวิตบนแท็กซี่ตรงบริเวณหน้าสวนฯจตุจักร ถนนพหลโยธินฝั่งขาออก และรวมถึงครอบครัวของน้องๆอาชีวะที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์เดียวกันนี้ด้วยนะครับ  ผมคงไม่จำเป็นต้องระบุชื่อว่าเป็นสถาบันใด แต่จากเหตุการณ์นี้คงทำให้เพื่อนรักของผมคนนึง คงมีอะไรต้องคิดต้องทำ ต้องให้ปวดหัวมากมายแน่นอน ก็ขอเป็นกำลังให้ทั้งครอบครัวผู้เสียหายและก็ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนครับ

เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสตระเวนไปในที่ต่างๆเพื่อค้นหาวัตถุดิบในการเขียนเรื่องสั้น ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ เพื่อให้เพื่อนพ้องน้องพี่ของผมที่นี่ได้พบปะกันทุกวันอาทิตย์ตามนัดผ่านเรื่องสั้นของผม  และที่แรกที่ผมคิดได้ ก็ต้องย้อนกลับไปยังที่ๆเป็นต้นเหตุของการเล่าเรื่องในระยะแรกๆของผม แล้วก็เกิดคำถามตามมามากมาย คือเหตุการณ์  3 ต่อ 30  โดยที่ตัวผมเองซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่อง ก็ได้ทิ้งปริศนาตัวละครและสถานที่เอาไว้ให้ผู้ยังแครงใจ ได้ค้นคว้าหาความจริงกัน

แต่กลับกลายเป็นว่า เหลว ผู้ตั้งข้อสงสัยดันกลายเป็นเด็กผีอาชีวะ  ซึ่งหาสัญชาติตัวเองไม่เจอ และคอยหลอกหลอนปั่นป่วนเว็บบอร์ดเยี่ยงสัมภเวสีอยู่ในหลายบอร์ดหลายสถาบันในขณะนี้  ทำให้ตัวผมเองก็พลอยอดได้ติดตามข่าวสารของผู้เสียหายจากเหตุการณ์ที่ตัวผมและเพื่อนๆได้เคยก่อเหตุเอาไว้และผมเองก็จัดให้เหตุการณ์นี้เป็น 1 ใน 3 เหตุการณ์ในความทรงจำของผม  ผมจึงต้องวนกลับมาที่เดิมอีกครั้งด้วยตัวเอง   ไม่ใช่เพื่อการตอกย้ำต่อความสูญเสีย แต่เพื่อการรำลึกถึง   ทั้งต่อผู้เสียหาย ต่อตัวเอง ต่อเพื่อนฝูง และแน่นอนที่สุดต่อคู่กรณีที่ในที่สุดแล้วต้องกลายไปเป็นผู้เสียหายที่สูญเสียโอกาสใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ไปตลอดชีวิต 

ผมเดินทางมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ช่วงบ่ายๆ และจุดแรกที่ผมแวะไปรำลึก ก็คือบริเวณโต๊ะสนุ๊ก ที่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้  

เมื่อผมมาถึงบริเวณโต๊ะสนุ๊ก  ที่ๆผมเคยจำได้ แต่ปัจจุบันดูเปลี่ยนแปลงไปมาก  ไม่มีโต๊ะสนุกเกอร์เหมือนเดิม พื้นที่ส่วนมากปล่อยทิ้งร้าง  เหลือเพียงความทรงจำ ผมจึงเลือกเดินตามเส้นทางอดีต ที่ครั้งนึงผมและเพื่อนๆเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจนต้องถอยร่นออกมาเรื่อยๆเพื่อเอาตัวเองและเพื่อนให้รอดจากสถานการณ์ที่คับขันนั้น   

พวกเราในวันนั้นต้องเดินถอยร่นจากหน้าปากซอยโต๊ะสนุ๊ก เรื่อยไปจนถึงร้านข้าวมันไก่ ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นร้านอาหารตามสั่งไปแล้ว     และผมยังจำภาพในอดีตได้ดี  มีดสับกระดูกเล่มใหญ่สันหนาทำจากโลหะชั้นดี ด้านคมมีดมีลักษณะโค้งครึ่งวงกลมและคมอย่างน่ากลัว  เป็นมีดเล่มใหญ่ที่เต็มไปด้วยคราบไขมันจากมันไก่ที่ถูกสับตัวแล้วตัวเล่ามาทั้งวัน วางปักอยู่บนเขียงขนาดใหญ่ เพื่อรอสับไก่ตอนตัวต่อไป ผมไม่รู้ว่ามีดสับกระดูกเล่มนั้นมันปักอยู่บนเขียงมานานแค่ไหนก่อนผมและเพื่อนทั้งสองคนจะเดินทางมาหามัน   แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ผมที่เลือกมัน  แต่เป็นมันที่รอผมมาโดยตลอด

ด้วยความจำเป็น ผมเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อยในการเล่าครั้งก่อน เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด  แต่ในครั้งนี้เมื่อผมเองเลือกที่จะย้อนเวลากลับมาหามัน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะปิดบังซ่อนเร้นรายละเอียดทั้งหมดอีกต่อไป

....... ที่ร้านอาหารตามสั่งในวันนี้ (อดีตคือร้านข้าวมันไก่ของอาแปะ)  ผมยืนอยู่ตรงจุดที่ผมเคยยืนถือมีดสับกระดูกเล่มใหญ่เล่มนั้น เมื่อ 20 กว่าปีก่อน  ณ จุดเดียวกัน ด้วยดวงตาคู่เดิม แต่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีอาแปะยืนสับไก่อีกแล้ว ผมแลเห็นแต่ อาม่า ที่แก่มากแล้ว พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  มีคนงานพม่า ผัว-เมีย คอยทำหน้าที่เป็นพ่อครัว-แม่ครัวแทน  ส่วนด้านข้างตึกของอาแปะ ก็มีสิ่งปลูกสร้างเป็นโครงการในลักษณะเป็นพลาซ่าขึ้นมาแต่ก็ทรุดโทรมแลดูไม่สะอาดตา  ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว  แต่ที่มันแย่คือภาพที่ยังฝังอยู่ในหัวผมมันกลับเป็นภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มันสร้างความทรมานให้ผมพอควร เมื่อต้องกลับมายืนในที่เดิม ด้วยหัวใจดวงเดิม แต่สิ่งต่างๆไม่อยู่แล้ว

ที่ตรงนี้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่ๆ ผม เก่งดำเนิน และแมงวันแม่กลอง โดนคู่กรณีเกือบ 30 คนยืนล้อมอยู่ที่ตรงหน้าร้านนี้   เพื่อให้เห็นภาพไปพร้อมๆกัน ผมว่าเราลองมาย้อนเหตุการณ์กันดูอีกซักรอบ  ด้วยข้อมูลที่ไม่ต้องดัดแปลงอีกต่อไป เพราะจนถึงวันนี้ผมก็พร้อมแล้วที่ยอมรับผลกรรมที่ได้เคยก่อเอาไว้ จากวันนี้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว  หลับตาลงช้าๆแล้วย้อนเวลาไปพร้อมๆกับผมนะครับ มิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย...

*******************************************************************  
 
ในขณะที่พวกเรา 3 คน (เก่ง ดำเนิน, แมงวันแม่กลอง และผม) กำลังตกที่นั่งลำบาก จากเหตุการณ์ที่ผมและเพื่อนๆได้แวะนำเงินมาจ่ายค่าเกมส์โต๊ะสนุ๊กที่ค้างจ่ายเอาไว้ 120 บาท เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดเหตุ และต้องมาเจอกับกลุ่มวัยรุ่นอีกกลุ่มที่มีปริมาณมากกว่ามาก  และบางคนก็มีอาการเมา ที่สำคัญพวกเค้ามีผู้หญิงที่กำลังจะต้องส่งกลับบ้านและก็ต้องการโชว์พลังให้ผู้หญิงของพวกเค้าดู  คนที่เริ่มเรื่องใส่ช็อปสีเทาสวมกางเกงยีนส์ ผมก็ไม่แน่ใจว่าสถาบันไหน  แต่ที่แน่ๆพวกเราในวันนั้น ก็ไม่ได้เตรียมอาวุธใดๆติดมือมา  ในขณะที่คู่กรณี มีอาวุธทั้งมีดทั้งไม้ครบมือ  คู่กรณีซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นในละแวกนั้น ที่มีทั้งนักเรียนอาชีวะ เด็กบ้าน และนักเลงท้องถิ่น รวมๆน่าจะไม่ต่ำจาก 25-30 คน
 

เมื่อคู่กรณีเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  และคิดเอาเองว่าเรามาแค่ 3 คนคงไม่เอา  ก็เลยได้ใจ  ท้าทายมาที่ผม  แต่เมื่อผมตอบตกลงกลับไป  ก็เกิดเสียหน้าและโกรธ  แถมยังต้องวิ่งกลับเข้าไปในร้านเหล้า เพื่อระดมคนระดมอาวุธเพิ่มเข้ามาอีก
ผมจึงได้หันไปถามไอ้เก่งดำเนินว่า ไอ้เก่งมึงว่าไง ผมหันไปหาไอ้แมงวันเช่นเดียวกันและถามไอ้แมงวันประโยคเดียวกัน  พวกมันทั้ง 2 คนตอบผมว่า

"ไอ้เล็ก... เพื่อน  ถ้ามรึงไม่ถอย กูก็จะยืนแลกกับมันอยู่ข้างๆมึงนี่ล่ะ "

เมื่อคำตอบเพื่อน กังวาน อยู่ในหัวผมแบบนี้ ธรรมชาติผม ก็เป็นประเภท สู้แค่ตายอยู่แล้ว เจอเพื่อนส่งแรงบวกมาแบบนี้ ผมแทบองค์ลงเลย  ศักดิ์ศรีมันค้ำขาค้ำคอครับ ขยับไปไหนไม่ได้เลย  นึกได้แค่ 2 อย่าง ไม่ฆ่ามัน มันก็ฆ่าเรา...

พวกเราค่อยๆขยับถอยหลังไปเรื่อยๆทีละก้าวทีละก้าว  เพื่อไม่ให้พวกมัน รุกเข้ามาเร็วเกินไป ผมไม่ แม้แต่จะเหลียวมองไปข้างหลัง เพราะถ้าผมเพียงละสายตา  หรือหลบตาแม้แต่น้อย  ผมจะพลาดทันที ผมถอยมาออกมาทางถนนใหญ่  ผมพยายามเหลือบมองด้านข้างตลอดเวลาเพื่อหาเครื่องทุ่นแรง ที่พอจะทำให้ผมและเพื่อนรอดจากสถานการณ์นี้ได้

ผมถอยมาจนถึงร้านข้าวมันไก่  ร้านข้าวมันไก่ที่มีคนนั่งกินข้าวกันตามปกติ  มีอาแปะเป็นคนขายและทำอาหารเอง มีอาม่า นั่งคอยให้การต้อนรับลูกค้าทั่วไป  มีลูกชายวัยเรียน 2 คน ที่คอยเป็นลูกมืออยู่ในร้านนี้ 

เมื่อพวกเราถอยจนมาถึงร้านนี้ ผมบอกให้ ไอ้เก่ง กับ แมงวัน รีบเข้าไปในร้านเลย เพราะนี่เป็นทางรอดทางเดียวของเราในคืนนั้น  เมื่อเราเข้าไปอยู่ด้านในของร้าน ไอ้เก่ง ไอ้แมงวัน  วิ่งเข้าไปคว้าขวดน้ำอัดลมเปล่าไว้ในมือทันที  ส่วนตัวผมเข้าไปแย่งมีดสับกระดูกจากอาแปะ อาแปะตกใจกลัวและก็ไม่กล้าขัดขืนผม

พวกเราถอยร่นเข้ามาอยู่ด้านในของร้าน   และเมื่อคู่กรณีเห็นเราจนตรอกแล้ว  จึงล้อมหน้าร้านเอาไว้ แต่ยังไม่กล้าเข้ามาด้านในร้าน  เพราะผมยังยืนอยู่กลางร้านพร้อมมีดสับกระดูกที่แย่งมาจากอาแปะยืนจังก้าค้างอยู่อย่างนั้นซักระยะ  ก็กลับกลายเป็นว่า เพื่อนผมทั้งสองคน เปิดฉากระดมปาขวดน้ำอัดลมเปล่าออกมาจากด้านใน ใส่พวกมันก่อน พร้อมตะโกนด่าเป็นระยะ  "มาเลยไอ้เหี๊ย ไอ้พวกหมาหมู่"  หลังจากนั้นก็ มาเป็นชุดเลย  ขวดหลายสิบขวดลอยข้ามหัวผมไปเป็นพายุมุ่งเข้าหากลุ่มคู่กรณี  และก็ไม่แพ้กัน พวกฝั่งด้านนอก ก็ปาทั้งไม้ทั้งก้อนอิฐเข้ามาเหมือนกัน ตู้ข้าวมันไก่ แตกกระจาย  แต่ด้วยปริมาณคนที่น้อยกว่า ทั้งผมและเพื่อนเราใช้เกาอี้แสตนเลสในร้านยกบังหน้าเอาไว้  แต่ก็เอาไม่อยู่ พวกเราโดนกันหนักพอสมควร เสียงแก้ว เสียงขวด แตกกระจาย ดัง เพล้ง เพล้ง เพล้ง ติดๆกันไม่ได้หยุดเลย โดยเฉพาะผมจะโดนหนักกว่าเพื่อนเพราะอยู่ด้านหน้า  จนกระทั่งโชคเข้าข้าง เมื่อมี 1 ในกลุ่มคู่กรณี ชะล่าใจ กระโดดเข้ามาพร้อมกับมีดสปาต้าในมือ เพราะคิดว่าเราคงสู้ไม่ได้แล้ว  ที่เลือกใช้เก้าอี้บังตัวเองจากก้อนอิฐและท่อนไม้ที่ระดมกันปาเข้ามาแบบนั้น   และก็โชคดีที่ผมยังไวพอ  ใช้มีดสับกระดูกที่ถืออยู่ในมือฟันเข้ากลางหน้าคู่กรณีได้ก่อน  และเหมือนจะถูกคน เมื่อคนที่โดนผมฟันหน้าล้มทั้งยืน ทำให้พวกที่เหลือกระโดดเข้ามาฟันผมแบบมั่วซั่วไปหมด เพื่อเปิดทางให้คนที่เหลือลากคนที่โดนมีดสับกระดูกออกจากพื้นที่ให้ได้    ถึงตอนนี้แม้สถานการณ์จะรวดเร็วและสับสนไปหมด ผมก็ยังมองทันเห็นเลือดพุ่งออกมาจากรอยมีดที่ผมฟันลงไปตรงกลางหน้าของคู่กรณี แบบเหมือนกับตอนที่เราขุดดินให้ลึกลงไปจะมีน้ำใต้ดินซึมขึ้นมาบนพื้น แบบรวดเร็วมาก ยังไงยังงั้นเลยครับ  เลือดสีแดงเข้มพุ่งขึ้นมาแทนที่บาดแผลขนาดใหญ่ จนแดงฉานไปทั้งหน้าเลย  เลือดมันออกมาเยอะมาก มากจนติดตาผมเลย
 
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น  เพื่อนๆทั้งสองคนของผม ก็กระโดดขึ้นมาข้างหน้าแล้วเอาคืนแบบโหดเหี้ยมกว่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่เรียนและก่อเหตุมาด้วยกันตลอด2ปี   โดยเก่งดำเนินคว้าอะไรได้ก็จะวิ่งเข้าไปหวดที่หัวและใบหน้าของคู่กรณีจนแตกกระจายกันไป  และเก่งก็วิ่งตามไปตีซ้ำจนล้มลงไปหลายคน  ในขณะที่แมงวันแม่กลองดูจะเหี๊ยมกว่าเมื่อจับหัวคู่กรณีแล้วให้ผมใช้มีดสับกระดูกฟันเข้าไปที่คอได้อีก 3-4 คน  และก็มีที่โดนคมมีดเต็มๆอยู่ 2 คน นอกเหนือจากคนแรกที่โดนฟันเข้ากลางหน้าในตอนแรกแล้ว
 
ระหว่างนี้ ลูกชายอาแปะก็ใช้กระบี่ที่มีไว้สำหรับนักเรียนนายร้อย ออกมาไล่ฟันกลุ่มคู่กรณีผม อย่างกล้าหาญทีเดียว แต่ก็พลาดโดนก้อนอิฐจนเลือดเต็มเบ้าตาเหมือนกัน”””
 
ผมขอให้พวกเราที่อ่านตามมาถึงตรงนี้ หยุดอ่านแล้วหลับตาลงอีกซักครั้งนะครับ เพื่อย้อนกลับมา ณ เวลาในปัจจุบัน   เพื่อให้เข้าใจตรงกัน วันนี้คือวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2555  และผมก็กำลังเล่าถึงเหตุการณ์การไปรำลึกความทรงจำเก่าๆยังที่เกิดเหตุ  ที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมานี่เอง  และเหตุการณ์ที่ผมกำลังรำลึกถึง มันก็เกิดขึ้น ณ วันเดียวกันนี้เมื่อกว่า 20 ปีก่อน .....
 
มาวันนี้ผมไม่เห็นอาแปะอยู่ในร้าน  ไม่เห็นลูกชายทั้งสองคน ที่เคยอาจหาญสู้คนทั้งที่ดูไม่น่าจะทำได้  สำหรับผมพวกเค้าคือคนที่ผมติดค้างหนี้บุญคุญเอาไว้  ผมพยายามมองไปรอบๆร้านเพื่อดูร่องรอยแห่งความทรงจำว่ามันจะยังหลงเหลือให้คนอย่างผมได้เก็บเอาไว้จดจำบ้างหรือเปล่า ก็ปรากฏว่าไม่  ผมจำต้องทิ้งเรื่องราวต่างๆเอาไว้ตรงนี้ แล้วต้องเดินหน้าต่อไป  ก็อย่างที่เค้าว่ากัน...ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และก็ตามวิถีทางของมัน  ไม่รู้วันนี้จะจบลงยังไง  และก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะกลับกลายไปเป็นเหยื่อบ้างหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้  แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ แม้มันจะผ่านมานานแล้ว ผมก็ได้แฝงเอาไว้ที่นี่แล้ว  และก็ได้แต่หวังว่าผมจะสามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผมและกลุ่มเพื่อนผม ให้เป็นแง่คิดที่ดีแก่รุ่นน้องๆให้ฉุกคิดกันได้   หรือแม้แต่เพื่อนๆที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับผม ถ้าท่านได้อ่าน ก็ขอให้ท่านได้พิจารณากันตามประสบการณ์ และช่วยกันพินิจพิเคราะห์ทีว่าเรื่องเล่าของผมในตอนนี้ นอกจากความสะใจแล้ว ท่านได้อะไรกลับไปบ้าง
 
ไม่ว่าจะเป็นผม เพื่อนผม คู่กรณี รวมทั้งลูกชายทั้งสองคนของอาแปะ หรือแม้แต่เหตุการณ์ของน้องอาชีวะที่เสียชีวิตที่ผมอ้างถึงเอาไว้ในตอนต้นเรื่อง ท่านได้เห็นอะไรบ้าง สำหรับผมผมนึกถึงคำพูดของพี่ชายที่ด่าผมเอาไว้เมื่อตอนผมเริ่มย่างเข้าวัยรุ่นตอนอายุ 15 ปี ตอนที่ผมเริ่มก่อเรื่องและพาตัวเองเข้ามาสู่ชีวิต นักเรียนนักเลง
 
ที่มึงทำเนี่ยะ เค้าไม่ได้เรียกว่า กล้า นะ เค้าเรียกว่า โง่
 
ครับ...ก็คงจะจริงดั่งคำพี่ผม ในยุคที่พวกเราตกอยู่ในลัทธิเพื่อนนิยม เพื่อนนั้นมาก่อนเสมอ สิ่งที่เราต้องการ ก็เพียงการได้รับการยอมรับจากเพื่อนในกลุ่มทุกคน  ไม่มีวันเลยที่เราจะคิดได้ในวันที่ไร้วุฒิภาวะแบบนั้น และก็ไม่มีทางเลยที่ใครจะมาคิดยับยั้งพวกเราไม่ให้เป็นอย่างที่เราอยากจะเป็น   อย่าว่าแต่พวกเราที่เป็นเด็กอาชีวะเลย  พวกท่านลองดูเหตุบ้านการณ์เมืองในปัจจุบันกันเอาเอง แล้วท่านจะเข้าใจคำพระท่านว่า
 
เวลาโกรธขึ้นมา ด๊อกเตอร์กับ ป.๔ ก็โง่พอๆ กัน

 
 

สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี
จากใจ
เล็ก 207

 

   อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น