โดย เล็ก 207 วันที่ 11.11.2555
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย
ไปยังครอบครัวของน้องนักเรียนอาชีวะที่ถูกยิงเสียชีวิตบนแท็กซี่ตรงบริเวณหน้าสวนฯจตุจักร
ถนนพหลโยธินฝั่งขาออก และรวมถึงครอบครัวของน้องๆอาชีวะที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์เดียวกันนี้ด้วยนะครับ
ผมคงไม่จำเป็นต้องระบุชื่อว่าเป็นสถาบันใด
แต่จากเหตุการณ์นี้คงทำให้เพื่อนรักของผมคนนึง คงมีอะไรต้องคิดต้องทำ ต้องให้ปวดหัวมากมายแน่นอน
ก็ขอเป็นกำลังให้ทั้งครอบครัวผู้เสียหายและก็ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนครับ
เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสตระเวนไปในที่ต่างๆเพื่อค้นหาวัตถุดิบในการเขียนเรื่องสั้น
ด้วยเหตุผลเดียวก็คือ เพื่อให้เพื่อนพ้องน้องพี่ของผมที่นี่ได้พบปะกันทุกวันอาทิตย์ตามนัดผ่านเรื่องสั้นของผม
และที่แรกที่ผมคิดได้
ก็ต้องย้อนกลับไปยังที่ๆเป็นต้นเหตุของการเล่าเรื่องในระยะแรกๆของผม แล้วก็เกิดคำถามตามมามากมาย
คือเหตุการณ์ “3 ต่อ 30” โดยที่ตัวผมเองซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่อง
ก็ได้ทิ้งปริศนาตัวละครและสถานที่เอาไว้ให้ผู้ยังแครงใจ ได้ค้นคว้าหาความจริงกัน
แต่กลับกลายเป็นว่า “เหลว” ผู้ตั้งข้อสงสัยดันกลายเป็นเด็กผีอาชีวะ ซึ่งหาสัญชาติตัวเองไม่เจอ และคอยหลอกหลอนปั่นป่วนเว็บบอร์ดเยี่ยงสัมภเวสีอยู่ในหลายบอร์ดหลายสถาบันในขณะนี้ ทำให้ตัวผมเองก็พลอยอดได้ติดตามข่าวสารของผู้เสียหายจากเหตุการณ์ที่ตัวผมและเพื่อนๆได้เคยก่อเหตุเอาไว้และผมเองก็จัดให้เหตุการณ์นี้เป็น
1 ใน 3 เหตุการณ์ในความทรงจำของผม ผมจึงต้องวนกลับมาที่เดิมอีกครั้งด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อการตอกย้ำต่อความสูญเสีย
แต่เพื่อการรำลึกถึง ทั้งต่อผู้เสียหาย
ต่อตัวเอง ต่อเพื่อนฝูง และแน่นอนที่สุดต่อคู่กรณีที่ในที่สุดแล้วต้องกลายไปเป็นผู้เสียหายที่สูญเสียโอกาสใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป
ไปตลอดชีวิต
ผมเดินทางมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ
ช่วงบ่ายๆ และจุดแรกที่ผมแวะไปรำลึก ก็คือบริเวณโต๊ะสนุ๊ก ที่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดในตอนนี้
เมื่อผมมาถึงบริเวณโต๊ะสนุ๊ก ที่ๆผมเคยจำได้ แต่ปัจจุบันดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีโต๊ะสนุกเกอร์เหมือนเดิม พื้นที่ส่วนมากปล่อยทิ้งร้าง เหลือเพียงความทรงจำ ผมจึงเลือกเดินตามเส้นทางอดีต
ที่ครั้งนึงผมและเพื่อนๆเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจนต้องถอยร่นออกมาเรื่อยๆเพื่อเอาตัวเองและเพื่อนให้รอดจากสถานการณ์ที่คับขันนั้น
พวกเราในวันนั้นต้องเดินถอยร่นจากหน้าปากซอยโต๊ะสนุ๊ก
เรื่อยไปจนถึงร้านข้าวมันไก่ ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นร้านอาหารตามสั่งไปแล้ว และผมยังจำภาพในอดีตได้ดี
มีดสับกระดูกเล่มใหญ่สันหนาทำจากโลหะชั้นดี
ด้านคมมีดมีลักษณะโค้งครึ่งวงกลมและคมอย่างน่ากลัว เป็นมีดเล่มใหญ่ที่เต็มไปด้วยคราบไขมันจากมันไก่ที่ถูกสับตัวแล้วตัวเล่ามาทั้งวัน
วางปักอยู่บนเขียงขนาดใหญ่ เพื่อรอสับไก่ตอนตัวต่อไป ผมไม่รู้ว่ามีดสับกระดูกเล่มนั้นมันปักอยู่บนเขียงมานานแค่ไหนก่อนผมและเพื่อนทั้งสองคนจะเดินทางมาหามัน
แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ผมที่เลือกมัน แต่เป็นมันที่รอผมมาโดยตลอด
ด้วยความจำเป็น ผมเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อยในการเล่าครั้งก่อน
เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด
แต่ในครั้งนี้เมื่อผมเองเลือกที่จะย้อนเวลากลับมาหามัน
ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะปิดบังซ่อนเร้นรายละเอียดทั้งหมดอีกต่อไป
....... ที่ร้านอาหารตามสั่งในวันนี้ (อดีตคือร้านข้าวมันไก่ของอาแปะ)
ผมยืนอยู่ตรงจุดที่ผมเคยยืนถือมีดสับกระดูกเล่มใหญ่เล่มนั้น
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ณ จุดเดียวกัน
ด้วยดวงตาคู่เดิม แต่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีอาแปะยืนสับไก่อีกแล้ว
ผมแลเห็นแต่ “อาม่า” ที่แก่มากแล้ว พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
มีคนงานพม่า ผัว-เมีย คอยทำหน้าที่เป็นพ่อครัว-แม่ครัวแทน ส่วนด้านข้างตึกของอาแปะ ก็มีสิ่งปลูกสร้างเป็นโครงการในลักษณะเป็นพลาซ่าขึ้นมาแต่ก็ทรุดโทรมแลดูไม่สะอาดตา ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่ที่มันแย่คือภาพที่ยังฝังอยู่ในหัวผมมันกลับเป็นภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
มันสร้างความทรมานให้ผมพอควร เมื่อต้องกลับมายืนในที่เดิม ด้วยหัวใจดวงเดิม
แต่สิ่งต่างๆไม่อยู่แล้ว
ที่ตรงนี้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่ๆ ผม เก่งดำเนิน และแมงวันแม่กลอง โดนคู่กรณีเกือบ
30 คนยืนล้อมอยู่ที่ตรงหน้าร้านนี้ เพื่อให้เห็นภาพไปพร้อมๆกัน ผมว่าเราลองมาย้อนเหตุการณ์กันดูอีกซักรอบ
ด้วยข้อมูลที่ไม่ต้องดัดแปลงอีกต่อไป
เพราะจนถึงวันนี้ผมก็พร้อมแล้วที่ยอมรับผลกรรมที่ได้เคยก่อเอาไว้ จากวันนี้เมื่อ
20 กว่าปีที่แล้ว
หลับตาลงช้าๆแล้วย้อนเวลาไปพร้อมๆกับผมนะครับ มิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย...
*******************************************************************
ในขณะที่พวกเรา 3 คน (เก่ง ดำเนิน,
แมงวันแม่กลอง และผม) กำลังตกที่นั่งลำบาก จากเหตุการณ์ที่ผมและเพื่อนๆได้แวะนำเงินมาจ่ายค่าเกมส์โต๊ะสนุ๊กที่ค้างจ่ายเอาไว้
120 บาท เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดเหตุ
และต้องมาเจอกับกลุ่มวัยรุ่นอีกกลุ่มที่มีปริมาณมากกว่ามาก และบางคนก็มีอาการเมา
ที่สำคัญพวกเค้ามีผู้หญิงที่กำลังจะต้องส่งกลับบ้านและก็ต้องการโชว์พลังให้ผู้หญิงของพวกเค้าดู คนที่เริ่มเรื่องใส่ช็อปสีเทาสวมกางเกงยีนส์
ผมก็ไม่แน่ใจว่าสถาบันไหน แต่ที่แน่ๆพวกเราในวันนั้น
ก็ไม่ได้เตรียมอาวุธใดๆติดมือมา
ในขณะที่คู่กรณี มีอาวุธทั้งมีดทั้งไม้ครบมือ คู่กรณีซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นในละแวกนั้น
ที่มีทั้งนักเรียนอาชีวะ เด็กบ้าน และนักเลงท้องถิ่น รวมๆน่าจะไม่ต่ำจาก 25-30
คน
เมื่อคู่กรณีเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และคิดเอาเองว่าเรามาแค่ 3 คนคงไม่เอา ก็เลยได้ใจ ท้าทายมาที่ผม แต่เมื่อผมตอบตกลงกลับไป ก็เกิดเสียหน้าและโกรธ แถมยังต้องวิ่งกลับเข้าไปในร้านเหล้า เพื่อระดมคนระดมอาวุธเพิ่มเข้ามาอีก
ผมจึงได้หันไปถามไอ้เก่งดำเนินว่า “ไอ้เก่งมึงว่าไง”
ผมหันไปหาไอ้แมงวันเช่นเดียวกันและถามไอ้แมงวันประโยคเดียวกัน พวกมันทั้ง 2 คนตอบผมว่า
"ไอ้เล็ก... เพื่อน ถ้ามรึงไม่ถอย กูก็จะยืนแลกกับมันอยู่ข้างๆมึงนี่ล่ะ " เมื่อคำตอบเพื่อน กังวาน อยู่ในหัวผมแบบนี้ ธรรมชาติผม ก็เป็นประเภท สู้แค่ตายอยู่แล้ว เจอเพื่อนส่งแรงบวกมาแบบนี้ ผมแทบองค์ลงเลย ศักดิ์ศรีมันค้ำขาค้ำคอครับ ขยับไปไหนไม่ได้เลย นึกได้แค่ 2 อย่าง ไม่ฆ่ามัน มันก็ฆ่าเรา... พวกเราค่อยๆขยับถอยหลังไปเรื่อยๆทีละก้าวทีละก้าว เพื่อไม่ให้พวกมัน รุกเข้ามาเร็วเกินไป ผมไม่ แม้แต่จะเหลียวมองไปข้างหลัง เพราะถ้าผมเพียงละสายตา หรือหลบตาแม้แต่น้อย ผมจะพลาดทันที ผมถอยมาออกมาทางถนนใหญ่ ผมพยายามเหลือบมองด้านข้างตลอดเวลาเพื่อหาเครื่องทุ่นแรง ที่พอจะทำให้ผมและเพื่อนรอดจากสถานการณ์นี้ได้ ผมถอยมาจนถึงร้านข้าวมันไก่ ร้านข้าวมันไก่ที่มีคนนั่งกินข้าวกันตามปกติ มีอาแปะเป็นคนขายและทำอาหารเอง มีอาม่า นั่งคอยให้การต้อนรับลูกค้าทั่วไป มีลูกชายวัยเรียน 2 คน ที่คอยเป็นลูกมืออยู่ในร้านนี้ เมื่อพวกเราถอยจนมาถึงร้านนี้ ผมบอกให้ ไอ้เก่ง กับ แมงวัน รีบเข้าไปในร้านเลย เพราะนี่เป็นทางรอดทางเดียวของเราในคืนนั้น เมื่อเราเข้าไปอยู่ด้านในของร้าน ไอ้เก่ง ไอ้แมงวัน วิ่งเข้าไปคว้าขวดน้ำอัดลมเปล่าไว้ในมือทันที ส่วนตัวผมเข้าไปแย่งมีดสับกระดูกจากอาแปะ อาแปะตกใจกลัวและก็ไม่กล้าขัดขืนผม พวกเราถอยร่นเข้ามาอยู่ด้านในของร้าน และเมื่อคู่กรณีเห็นเราจนตรอกแล้ว จึงล้อมหน้าร้านเอาไว้ แต่ยังไม่กล้าเข้ามาด้านในร้าน เพราะผมยังยืนอยู่กลางร้านพร้อมมีดสับกระดูกที่แย่งมาจากอาแปะยืนจังก้าค้างอยู่อย่างนั้นซักระยะ ก็กลับกลายเป็นว่า เพื่อนผมทั้งสองคน เปิดฉากระดมปาขวดน้ำอัดลมเปล่าออกมาจากด้านใน ใส่พวกมันก่อน พร้อมตะโกนด่าเป็นระยะ "มาเลยไอ้เหี๊ย ไอ้พวกหมาหมู่" หลังจากนั้นก็ มาเป็นชุดเลย ขวดหลายสิบขวดลอยข้ามหัวผมไปเป็นพายุมุ่งเข้าหากลุ่มคู่กรณี และก็ไม่แพ้กัน พวกฝั่งด้านนอก ก็ปาทั้งไม้ทั้งก้อนอิฐเข้ามาเหมือนกัน ตู้ข้าวมันไก่ แตกกระจาย แต่ด้วยปริมาณคนที่น้อยกว่า ทั้งผมและเพื่อนเราใช้เกาอี้แสตนเลสในร้านยกบังหน้าเอาไว้ แต่ก็เอาไม่อยู่ พวกเราโดนกันหนักพอสมควร เสียงแก้ว เสียงขวด แตกกระจาย ดัง เพล้ง เพล้ง เพล้ง ติดๆกันไม่ได้หยุดเลย โดยเฉพาะผมจะโดนหนักกว่าเพื่อนเพราะอยู่ด้านหน้า จนกระทั่งโชคเข้าข้าง เมื่อมี 1 ในกลุ่มคู่กรณี ชะล่าใจ กระโดดเข้ามาพร้อมกับมีดสปาต้าในมือ เพราะคิดว่าเราคงสู้ไม่ได้แล้ว ที่เลือกใช้เก้าอี้บังตัวเองจากก้อนอิฐและท่อนไม้ที่ระดมกันปาเข้ามาแบบนั้น และก็โชคดีที่ผมยังไวพอ ใช้มีดสับกระดูกที่ถืออยู่ในมือฟันเข้ากลางหน้าคู่กรณีได้ก่อน และเหมือนจะถูกคน เมื่อคนที่โดนผมฟันหน้าล้มทั้งยืน ทำให้พวกที่เหลือกระโดดเข้ามาฟันผมแบบมั่วซั่วไปหมด เพื่อเปิดทางให้คนที่เหลือลากคนที่โดนมีดสับกระดูกออกจากพื้นที่ให้ได้ ถึงตอนนี้แม้สถานการณ์จะรวดเร็วและสับสนไปหมด ผมก็ยังมองทันเห็นเลือดพุ่งออกมาจากรอยมีดที่ผมฟันลงไปตรงกลางหน้าของคู่กรณี แบบเหมือนกับตอนที่เราขุดดินให้ลึกลงไปจะมีน้ำใต้ดินซึมขึ้นมาบนพื้น แบบรวดเร็วมาก ยังไงยังงั้นเลยครับ เลือดสีแดงเข้มพุ่งขึ้นมาแทนที่บาดแผลขนาดใหญ่ จนแดงฉานไปทั้งหน้าเลย เลือดมันออกมาเยอะมาก มากจนติดตาผมเลย
เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น เพื่อนๆทั้งสองคนของผม ก็กระโดดขึ้นมาข้างหน้าแล้วเอาคืนแบบโหดเหี้ยมกว่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่เรียนและก่อเหตุมาด้วยกันตลอด2ปี โดยเก่งดำเนินคว้าอะไรได้ก็จะวิ่งเข้าไปหวดที่หัวและใบหน้าของคู่กรณีจนแตกกระจายกันไป
และเก่งก็วิ่งตามไปตีซ้ำจนล้มลงไปหลายคน ในขณะที่แมงวันแม่กลองดูจะเหี๊ยมกว่าเมื่อจับหัวคู่กรณีแล้วให้ผมใช้มีดสับกระดูกฟันเข้าไปที่คอได้อีก
3-4 คน และก็มีที่โดนคมมีดเต็มๆอยู่ 2
คน นอกเหนือจากคนแรกที่โดนฟันเข้ากลางหน้าในตอนแรกแล้ว
ระหว่างนี้
ลูกชายอาแปะก็ใช้กระบี่ที่มีไว้สำหรับนักเรียนนายร้อย ออกมาไล่ฟันกลุ่มคู่กรณีผม
อย่างกล้าหาญทีเดียว แต่ก็พลาดโดนก้อนอิฐจนเลือดเต็มเบ้าตาเหมือนกัน”””
ผมขอให้พวกเราที่อ่านตามมาถึงตรงนี้
หยุดอ่านแล้วหลับตาลงอีกซักครั้งนะครับ เพื่อย้อนกลับมา ณ เวลาในปัจจุบัน เพื่อให้เข้าใจตรงกัน วันนี้คือวันอาทิตย์ที่
11 พฤศจิกายน 2555 และผมก็กำลังเล่าถึงเหตุการณ์การไปรำลึกความทรงจำเก่าๆยังที่เกิดเหตุ
ที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8
พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมานี่เอง
และเหตุการณ์ที่ผมกำลังรำลึกถึง มันก็เกิดขึ้น ณ วันเดียวกันนี้เมื่อกว่า
20 ปีก่อน .....
มาวันนี้ผมไม่เห็นอาแปะอยู่ในร้าน ไม่เห็นลูกชายทั้งสองคน
ที่เคยอาจหาญสู้คนทั้งที่ดูไม่น่าจะทำได้
สำหรับผมพวกเค้าคือคนที่ผมติดค้างหนี้บุญคุญเอาไว้
ผมพยายามมองไปรอบๆร้านเพื่อดูร่องรอยแห่งความทรงจำว่ามันจะยังหลงเหลือให้คนอย่างผมได้เก็บเอาไว้จดจำบ้างหรือเปล่า
ก็ปรากฏว่าไม่
ผมจำต้องทิ้งเรื่องราวต่างๆเอาไว้ตรงนี้ แล้วต้องเดินหน้าต่อไป ก็อย่างที่เค้าว่ากัน...ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป
และก็ตามวิถีทางของมัน ไม่รู้วันนี้จะจบลงยังไง
และก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะกลับกลายไปเป็นเหยื่อบ้างหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
แม้มันจะผ่านมานานแล้ว ผมก็ได้แฝงเอาไว้ที่นี่แล้ว และก็ได้แต่หวังว่าผมจะสามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผมและกลุ่มเพื่อนผม
ให้เป็นแง่คิดที่ดีแก่รุ่นน้องๆให้ฉุกคิดกันได้
หรือแม้แต่เพื่อนๆที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับผม
ถ้าท่านได้อ่าน ก็ขอให้ท่านได้พิจารณากันตามประสบการณ์ และช่วยกันพินิจพิเคราะห์ทีว่าเรื่องเล่าของผมในตอนนี้
นอกจากความสะใจแล้ว ท่านได้อะไรกลับไปบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นผม เพื่อนผม คู่กรณี รวมทั้งลูกชายทั้งสองคนของอาแปะ
หรือแม้แต่เหตุการณ์ของน้องอาชีวะที่เสียชีวิตที่ผมอ้างถึงเอาไว้ในตอนต้นเรื่อง
ท่านได้เห็นอะไรบ้าง สำหรับผมผมนึกถึงคำพูดของพี่ชายที่ด่าผมเอาไว้เมื่อตอนผมเริ่มย่างเข้าวัยรุ่นตอนอายุ
15 ปี ตอนที่ผมเริ่มก่อเรื่องและพาตัวเองเข้ามาสู่ชีวิต นักเรียนนักเลง
“ที่มึงทำเนี่ยะ
เค้าไม่ได้เรียกว่า กล้า นะ เค้าเรียกว่า โง่”
ครับ...ก็คงจะจริงดั่งคำพี่ผม
ในยุคที่พวกเราตกอยู่ในลัทธิเพื่อนนิยม เพื่อนนั้นมาก่อนเสมอ สิ่งที่เราต้องการ
ก็เพียงการได้รับการยอมรับจากเพื่อนในกลุ่มทุกคน ไม่มีวันเลยที่เราจะคิดได้ในวันที่ไร้วุฒิภาวะแบบนั้น
และก็ไม่มีทางเลยที่ใครจะมาคิดยับยั้งพวกเราไม่ให้เป็นอย่างที่เราอยากจะเป็น อย่าว่าแต่พวกเราที่เป็นเด็กอาชีวะเลย พวกท่านลองดูเหตุบ้านการณ์เมืองในปัจจุบันกันเอาเอง
แล้วท่านจะเข้าใจคำพระท่านว่า
เวลาโกรธขึ้นมา
ด๊อกเตอร์กับ ป.๔ ก็โง่พอๆ กัน
|
สำหรับวันนี้ ที่นี่....สวัสดี
จากใจเล็ก 207
อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น