วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่า ตอนที่ 3 - บุรณพนธ์กับสงครามกัมพูชา


บุรณพนธ์กับสงครามกัมพูชา
โดย เล็ก 207 วันที่ 21.10.2555




ในช่วงปลายปีพุทธศักราช 2534 ถือเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตนักเรียนอาชีวะของผมที่บุรณพนธ์   เมื่อเพื่อนร่วมแก๊งค์ 207 ของผมส่วนมากจบการศึกษากันไป และไม่ได้ลงทะเบียนเรียนต่อในปี 4  จะคงมีก็แต่  เต้ปัฐวิกรณ์กับแพ็ทบูรณ์ สมาชิก 207 ที่ยังคงลงเรียนต่อปี4   เช่นเดียวกับผมที่มาลงต่อในรอบที่ 2 หลังถูกอาจารย์นิดา ประกาศให้พ้นสภาพนักเรียนไปเมื่อปีการศึกษา 2533-2534 พร้อมกับเพื่อนร่วมแก๊งค์อีก 2 คน คือ เอ้ ปากหวาน หรือ เอ้ ก.ม.8หรืออีกชื่อคือ องค์ชายBU”  และ  เคด่วย หรือ เคใหญ่ จากเหตุการณ์ ตัดนิ้วและทุบหัว นักเรียนเปรมฤทัย ที่ท่ารถเมล์วัดศรีเอี่ยม และคดีเพิ่งจะหมดอายุความไปเมื่อไม่นานนี้

ในช่วงเวลานั้นผมจะสนิทกับ ไอ้เต้ ปัฐวิกรณ์ เป็นพิเศษ  เมื่อพูดถึง เต้ปัฐวิกรณ์ ก็ขอบันทึกไว้ตรงนี้ว่า   เป็น เต้ ปัฐวิกรณ์  ที่ออกมาจากเทคนิคดอนเมือง รุ่นพี่ ซูลู 207 และออกมาจากช่างยนต์ ที่ วท.มีนบุรี หรือช่างมีนฯ  รุ่นน้อง เพื่อนฉ่อย ชก.56” ของผม   และเต้ ก็มาเรียนต่อที่บุรณพนธ์  รุ่นไล่ๆกันกับผม  เป็น เต้ ปัฐวิกรณ์ที่ติดตาม ปูพงษ์สิทธิ์ คำภี อยู่พักนึง และ ติดตาม พี่ต้น ร้านน้ำผึ้ง อยู่พักใหญ่ จนได้รับอิทธิพลในการแต่งตัวแบบ Dead Rock  ซึ่ง ไม่มีนักเรียนอาชีวะ สถาบันไหน ในยุคนั้น จะแต่งตัวในลักษณะนี้  ที่มีการเจาะหู เจาะจมูก เจาะตามอวัยวะต่างๆ ให้เป็นที่หวาดเสียว  

แต่เอกลักษณ์ในการแต่งตัวของ เต้-ปัฐวิกรณ์ กลับมาได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนี้ (ขณะที่ผมเขียนเรื่องสั้นนี้ คือ ช่วงกลางเดือนตุลาคม ปี 2555)  ที่ไม่ว่าจะ หญิงหรือชาย ก็นิยมเจาะตามร่างกายกันแพร่หลาย ไม่เว้นแม้แต่การเจาะในบริเวณของลับ ซึ่งทำให้หัวคนโบราณอย่างผมออกจะงงงวยอยู่ไม่น้อย  แม้จะชินกับแฟชั่นในลักษณะนี้จากเพื่อนเต้ อยู่แล้วก็ตามที
ผมกับเต้ เราไปมาหาสู่กันทุกวัน ไปเรียนด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน ที่สำคัญเราไปไหนไปกัน จนเราทั้งสองคนปิ๊งไอเดีย อยากไปเป็นบ๋อย เสิร์ฟอาหารในโรงแรมกัน ทั้งนี้มิใช่เพื่อการเลี้ยงชีพแต่อย่างใด   หากแต่วัตถุประสงค์หลักของพวกเรา คือ เพื่อให้ได้ดูฝรั่งแก้ผ้าอาบน้ำ ในสระน้ำตามโรงแรมเท่านั้น  เพียงเท่านั้น จริงๆ ครับ ผมยืนยัน .....

โชคดีที่ผมมีพี่สาวทำงานอยู่ สถาบันเอไอที  เป็นสถาบันเอไอที ที่มีชื่อเสียงในระดับชั้นนำของเอเชีย เปิดทำการสอนในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก รวมทั้งทำงานวิจัยฯต่าง มาเกือบๆจะ 30 ปี (ในสมัยนั้น...ตอนนี้ก็น่าจะกว่า 50 ปีแล้ว และแว่วๆว่ากำลังมีปัญหา เรื่องกฎบัตร และไม่ได้รับการรับรองจาก กพ.อยู่ในขณะนี้)    ผมได้เข้าไปเป็น Waiter หรือ พนักงานเสิร์ฟชาย ที่นั่น  ร่วมกับเพื่อนเต้ เพื่อนรักของผม

ด้วยการฝากงานของพี่สาวผม  ผมกับเต้ ได้เข้าไปเป็นพนักงานเสิร์ฟชาย ที่ Dining Room (อ่านว่า ได-นิ่ง-รูม) ของโรงแรมขนาดเล็ก ในสถาบันแห่งนี้    และที่ร้านอาหารแห่งนี้ผมกับเต้ ได้ร่วมกันสร้างเรื่องราวแสบๆคันๆเอาไว้มากมาย แต่จะขออนุญาตยกยอดไปเล่าในตอนอื่นๆนะครับ เพราะสาระสำคัญของเรื่องสั้นในตอนนี้   แม้จะเริ่มต้นจากที่นี่  แต่เรื่องราวก็มิได้วนเวียนอยู่ในห้องอาหารแห่งนี้
ในระหว่างงานเสิร์ฟของผม ผมได้พบกับ นายทหารนอกราชการ ชาวอังกฤษผู้หนึ่ง ผู้ที่ซึ่งในครั้งแรก ผมนึกว่าท่านเป็นผู้มีจิตเบี่ยงเบน  เพราะผมรู้สึกได้ว่า นายทหารนอกราชการจากสหราชอาณาจักรผู้นี้  เฝ้ามองผมอยู่ตลอดเวลาอาหารมื้อกลางวัน  ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอะไร เพราะข่าวว่าฝรั่งตุ๋ยเด็ก  มีให้เห็นอยู่ทุกวันตามหน้าหนังสือพิมพิ์เมืองไทย ,,,,,,   

แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก สุภาพสตรีท่านนึง  โทรเข้ามาที่ร้านอาหาร ขอพูดสายกับผม พร้อมแจ้งผมว่า หลังเลิกงาน จะเข้ามาพบที่ร้านอาหารให้รออยู่ก่อน อย่าเพิ่งกลับ ...... 

สุภาพสตรีท่านนั้น ดูไม่แก่เลย เมื่อเทียบกับน้ำเสียงที่ผมได้ยินทางโทรศัพท์  และมีท่าทีสุภาพ แต่งตัวดี พูดจาด้วยความสุขุม นุ่มนวล จนคนห่ามๆอย่างผมรู้สึกตัวเล็กลงไปถนัดตา  พี่อรคือชื่อเรียกแทนตัวของสุภาพสตรีท่านนั้น   พี่อร ได้แจ้งให้ผมทราบว่า ลุงฝรั่งคนที่มานั่งทานอาหารกลางวันทุกวันที่นี่ ท่านคือ “Col. Brian Ward”  อ่านว่า พันเอก ไบรอัน วอร์ดท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย  ซึ่งที่ตั้งของศูนย์ฯนี้ ก็อยู่ในบริเวณรั้ว สถาบัน เอไอที ที่เดียวกับร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่นั่นเอง

พี่อรแจ้งว่า นายคือ พันเอก ไบรอัน วอร์ด ต้องการตัวผมไปร่วมงานที่ศูนย์ฯ  โดยยินดีให้เงินเดือนในระดับที่ผมพอใจ!    ในยุคนั้น ผมมีรายได้โดยประมาณอยู่ที่ 2000 บาท ต่อเดือน จากการเป็นกุลี ที่ บริษัท โอสถสภา จำกัด   และมีรายได้โดยประมาณอยู่ที่ 8000 บาท ต่อเดือน จากการเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรมของสถาบันเอไอทีแห่งนี้  ด้วยรายได้ระดับนี้ ต้องนับว่าผม เป็นผู้มีรายได้สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับอายุของผมและค่าครองชีพในยุคนั้น  และการตัดสินใจย้ายแบบก้าวกระโดดจากเด็กเสิร์ฟ หรือบ๋อย มาเป็น ผู้ช่วยในสำนักงาน หรือ ชื่อในภาษาอังกฤษ คือ Office Assistant ของศูนย์ฯแห่งนี้  ทำให้ผมได้รับเงินเดือน 10,500.00 ต่อเดือน  และ นายวอร์ดก็คือเจ้านายฝรั่งคนแรกของผม นับแต่นั้น......

และที่ศูนย์ฯแห่งนี้เองที่พาผมเข้าไปสัมผัสกับเรื่องราวความโหดร้ายของมนุษย์ผู้ก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์มนุษย์ด้วยกันเอง เพียงเพราะสิ่งที่คนเรียกขานกันว่า......อำนาจ
***********************************************************

กัมพูชา
ประเทศกัมพูชา หรือ เขมร ที่พวกเราชาวไทย รู้จักมักคุ้นกันดี ด้วยเป็นประเทศที่มีชายแดนเชื่อมติดกันกับประเทศไทยของเรา  มีความยาวของเขตเชื่อมต่ออยู่ที่ 800 กิโลเมตรโดยประมาณ  มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาตั้งแต่อดีตกาล ยาวนาน แต่ด้วยความเคารพ ผมจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ลุ่มๆดอนๆระหว่างกัน เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด แต่ผมจะเล่าในส่วนที่ผมได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ในฐานะ Project Assistant หรือผู้ช่วยโครงการ หรือถ้าจะให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดคือ เบ๊ หรือคนรับใช้ ในระดับล่างสุด ที่ทุกคนในโครงการ สามารถชี้นิ้ว สั่งการและใช้งานได้ อย่างสบายๆอย่างนี้ น่าจะทำให้ทุกท่านเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

ผมโชคดี ที่ได้เข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยสงคราม ชาวกัมพูชา ที่ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR (United Nation High Commissioner for Refugees) หรือ สำนักฯผู้ลี้ภัยข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ    ฟังดูยิ่งใหญ่นะครับ แต่กรุณาอ่านและทำความเข้าใจ ต่อสถานะของผมที่มีต่อโครงการนี้ จากการอธิบายหน้าที่รับผิดชอบของผม ด้านบนนะครับ โครงการน่ะ ใหญ่ แต่ผมน่ะไม่ใช่....ฮาๆ

ต่อครับ  กัมพูชาได้รับเอกราชตามสนธิสัญญาเจนีวา เมื่อปีพระพุธศักราช 2497  โดยสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ ได้ขึ้นปกครองประเทศ  เรื่อยมาจนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในช่วงปีพระพุทธศักราช 2508  ที่สุด ในเดือนเมษายน ปีพระพุทธศักราช 2510  ชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา ในอำเภอซัมโลต์  ได้หมดความอดทนก่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ได้ก่อจลาจล จนเกิดการปราบปรามอย่างรุนแรง จากเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ประชาชนซึ่งถูกเรียกโดยรวมว่าพวกฝ่ายซ้าย ได้เข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีผู้นำเป็นกลุ่มปัญญาชนที่ได้รับการศึกษาจากฝรั่งเศส  และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ พล พตแกนนำกองกำลังคอมมิวนิสต์ หรือ เขมรแดง  ซึ่งในที่สุดสามารถยึดอำนาจการปกครองกัมพูชาได้อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อวันที่ 17 เมษายน ปี พระพุทธศักราช 2518 .....

แต่สิ่งที่ พล พตขายฝันเอาไว้กลับไม่เป็นไปตามนั้น  กัมพูชาในระหว่างปีพระพุทธศักราช 2518-2522 กลับตกอยู่ในความโหดร้าย และรุนแรงสุดขั้ว   มีการโดดเดี่ยวประเทศตัวเองจากสังคมโลก  ปิดทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ทั้งยัง ยกเลิกระบบธนาคาร ระบบเงินตรา ไม่เว้นแม้แต่ ศาสนาพุทธที่ยั่งยืนมาช้านาน สูญสิ้นหมด วัดวาอารามปิด ทิ้งร้างสิ้น

พล พตเชื่อว่าระบบสังคมนิยมแบบพึ่งตนเอง จะนำกัมพูชาสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้เหมือนในอดีต และประเทศก็ควรอยู่อย่างสันโดษ ไม่ต้องพึ่งพาวิทยาการใดๆทั้งสิ้น  นักศึกษา ปัญญาชน และศิลปิน ล้วนเป็นภัยต่อความมั่นคงทั้งสิ้น ต้องฆ่าเสียให้หมด  กัมพูชาต้องมีแต่ชนชั้นแรงงานเท่านั้นจึงจะอยู่รอด.....  

ประชาชนถูกส่งตัวไปทำไร่ ทำนา ยังพื้นที่ชนบทกันดาร เพื่อเร่งสร้างผลผลิตทางการเกษตรเพื่อส่งเข้ารัฐ สร้างความมั่นคงทางอาหารตามแนวคิดของ พล พต    แต่ด้วยความหวาดระแวงที่มีต่อกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้ามที่หนุนหลังโดยประเทศตะวันตก  และแม้แต่อิทธิพลของกองทัพเวียดนาม ที่ครอบงำกัมพูชามาโดยตลอด   ทำให้ พล พตมีความพยายามที่จะปิดประเทศ และใช้การพึ่งพาตนเองภายในประเทศอย่างสุดขั้ว

เมื่อเกิดภาวะ ขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวสารทำให้เกิดการกะเกณฑ์ประชาชน เพื่อใช้เป็นแรงงาน ในการทำนาข้าวโดยไม่ใช้เทคโนโลยี เพราะไม่ต้องการพึ่งพาการช่วยเหลือจากต่างชาติ เป็นเวลาหลายปี จนผู้คนต้องล้มตายนับล้านคน ทั้งอดอยาก ทั้งถูกทารุณกรรม ถูกฆ่าทิ้ง และ ทุ่งสังหารก็อุบัติขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น

ที่สุดแล้ว ในเดือนมกราคม ปีพระพุทธศักราช 2522  กลุ่มนักรบเขมรที่มีกองทัพเวียดนามสนับสนุน ได้บุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ  ฝ่ายเขมรแดง คือกองทัพ พล พตจึงแตกพ่าย  หนีภัยมาหลบอยู่ตามตะเข็บชายแดน ไทย-กัมพูชา และยังคงกองกำลังเอาไว้ เพื่อต่อสู้กับฝั่งขั้วอำนาจใหม่อย่าง ฮุนเซ็น  ที่มีกองทัพเวียดนามหนุนหลังต่อไปอีกหลายปี   ในขณะที่ระเบิดนับสิบล้านลูกถูกฝังอยู่ทั่วประเทศ .......   ทั้งหมดจึงเป็นที่มา  ทีทำให้ผมได้มีโอกาส ติดสอยห้อยตามคณะทำงานจาก UNHCR มาทำงาน อยู่ที่ ไซต์ ทู (Site II) ณ อำเภอ ตาพระยา แห่งนี้  ที่ในปัจจุบันได้เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจใคร่รู้ทั่วไป
******************************************************************************

พักเรื่องกัมพูชา  ผมขอพาทุกท่าน วกกลับมาที่ ท่ารถ 207 วัดศรีเอี่ยม ในคืนวันก่อนที่ผมจะโดนไล่ออกจากโรงเรียนอย่างเป็นทางการในรอบแรก.....     ในวันที่พวกเราชาว BU207 มีวันชื่นคืนสุข ที่วิเศษสุดในทุกๆวันของวัยเรียน จนกระทั่งในคืนหนึ่งหลังเลิกเรียน

ก็เป็นปกติของพวกเราที่เมื่อเลิกเรียน พวกเราก็จะมารอกันอยู่หน้าโรงเรียน พอครบองค์ประชุม ก็เดินจากหน้าโรงเรียนมาที่วัดศรีเอี่ยม เพื่อรอรถ 207 กลับบ้าน  หรือบางที ถ้าวันไหนขี้เกียจ ก็โหนรถเมล์เอา 1 ป้าย ไม่ต้องจ่ายเงิน เพื่อมาลงที่วัดศรีเอี่ยม   แต่วันนั้นเราเลือกที่จะเดินกลับครับ   พวกเราเดินกลับโดยใช้เส้นทางฝั่งแฟลตบางนา  พวกเราเดินมายังไม่ทันถึงแฟลตบางนาเลย  ไอ้เอ้ ปากหวานหรือ เอ้ กม.8หรือ องค์ชาย BU” คนเดียวกันทั้ง 3 ชื่อครับ  เอ้ วิ่งหน้าตื่นมาเลย

เฮ้ย..เล็ก เอ้มีเรื่องว่ะเพื่อนรูปหล่อ ของผมเริ่มเรื่อง

ผมถามต่อ มีอะไรวะเพื่อน
(ต้องบอกกันก่อนว่าผมนั้นถามแบบ คนพันธ์เบนซินหัวฉีดครับ  เลือดลมวิ่งพล่านไปทั่วตัวตั้งแต่เห็น มันวิ่ง หน้าตาตื่นมาแล้ว)  

โดยปกติ ถ้าเด็กBU ที่เรียนทันรุ่นกัน ท่านก็จะทราบดีว่า  การที่จะทำให้เพื่อนผมคนนี้ วิ่งหน้าตื่นแบบนี้นั้นยากมาก เอ้ เป็นคนที่พูดจาไพเราะ  แต่งตัวเนี๊ยบและมีเอกลักษณ์เฉพาะ  หน้าตาดี  แต่ลงมือจริง!  ประวัติส่วนตัวรวมทั้งประสบการณ์ชีวิตอาชีวะของ เอ้ หรือเจ้าชายBU คนนี้  ก็ไม่เป็นสองรองใครในกลุ่ม BU207 เลย  
เล็ก!  เอ้...โดน เด็กเปรมท้าต่อยว่ะ 

คำพูดบอกเล่าของเอ้ ทำให้ผมสะดุดเล็กน้อย  เพราะถ้าด้วยเหตุผลนี้ ไม่น่าที่เอ้จะต้องวิ่งหน้าตื่นมาแบบนี้  น่าจะสามารถจัดการเองได้     

เอ้เล่าต่อว่า....เอ้นั่งอยู่บนรถกับหญิงเปรม นั่งกันอยู่สองคน  เอ้พึ่งจีบน้องคนนี้ติด (แม้แต่ ไอ้เอ้ รูปหล่อ...ก็ยังนำเอาคติประจำตัวของผมไปใช้ เป็นประเภท เจอหญิงแล้วทิ้งเพื่อนเหมือนกัน แต่คราวนี้มันเดือดร้อนครับ)   เอ้นั่งอยู่กับแฟนใหม่หมาดๆ  นั่งกันอยู่ฝั่งริมหน้าต่างด้านซ้าย เบาะที่นั่งสุดท้าย ก่อนจะถึงประตูหลัง  เพื่อรอให้รถออก    แต่ก่อนที่จะได้เวลารถออก ก็มีเด็กเปรม ขึ้นรถมา 3 คน...   

ทั้ง 3 คนมองมาที่ เอ้  แล้วถามเอ้ว่า เรียน BU เหรอเพื่อน 

เพื่อนผมตอบกลับไปว่า ใช่...เราเรียน BU – นายมาถามเราแบบนี้ นายไม่กลัว BU เหรอเพื่อน

เอ้ ได้รับคำตอบที่ทำให้เอ้ต้องตัดสินใจหาตัวช่วย เราไม่เคยกลัวบุรณพนธ์เลย ถ้าวัดกันตัวต่อตัวมัดมือแทงยังได้เลย พร้อมโชว์มีดเหน็บเอววาววับ    

งั้นพวกนายอย่าเพิ่งกลับนะ เดี๋ยวเรามาเอ้ตอบ.””””

กลับมาที่หน้าแฟลตบางนา....  เมื่อผมทราบเรื่องราวต่างๆจากปากของเพื่อนเอ้เป็นอย่างดีแล้ว  ผมในวันนั้น วันที่ยังไร้ซึ่งวุฒิภาวะและความยั้งคิด  ก็ไม่รอช้า   ผมพร้อมด้วย ไอ้เจ้าชายกบ, เคใหญ่, เก่งดำเนิน และแมงวันแม่กลอง พวกเราทั้งหมดทุกคน กลัวว่าเด็กเปรมจะกลับบ้านไปเสียก่อนและจะไม่ทันได้สนองความอยากของพวกเค้า  เพราะนานๆที เราจึงจะเจอเด็กเปรมที่ใจถึงแบบนี้ซักที  

 ...แม้เราจะรู้สึกยกย่องในความกล้าหาญของเด็กเปรมชุดนี้   แต่เราก็อยากให้เพื่อนต่างสถาบันได้บรรลุจึงวัตถุประสงค์ตามที่พวกเค้าต้องการอยู่ดี    ผมนำพรรคพวกวิ่งตัดถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง ไม่เกิน 3 นาที ก็ถึงอู่รถ 207 แล้ว 

เอ้ชี้ให้ผมดูเด็กเปรมทั้ง 3 คน .... ผมประหลาดใจเล็กน้อย ที่เมื่อเห็นเจ้าของประโยคเด็ด เราไม่เคยกลัวบุรณพนธ์เลย ถ้าวัดกันตัวต่อตัวมัดมือแทงยังได้เลย ดูไม่น่ากลัวเหมือนคำพูดเลย  อาจเป็นเพราะพวกเราเจอของหนักๆกันมาทุกวัน จนชินแล้ว เลยมองเด็กช่างฯกลุ่มนี้ไม่น่ากลัว   แต่พวกเค้าก็ตัวใหญ่ใช้ได้

คนมุทะลุอย่างผมนั้น เอ้ รู้อยู่แล้ว   ถ้าบอกผมนี่ได้ผลแน่   ผมขึ้นไปบนรถเมล์สาย 207 ที่จอดรออยู่ และถามเด็กเปรมทั้ง 3 คนดังลั่นรถเมล์เลย พวกมรึง ไม่กลัว BU ใช่มั๊ย?” ไม่ทันที่พวกมันจะตอบ ผมปล่อยประโยคต่อไปทันที ไม่ต้อง ตัว-ตัว หรอก กูให้มึง 3 เลย

อ้อ!  ผมขอเบรกเอาไว้ก่อนนะครับ..... ถึงตรงนี้ เป็นช่วงเบรกสุดท้าย  ก่อนที่อารมณ์ ทุกท่านจะพุ่งพล่าน   ผมขออธิบาย ความมุทะลุของผมในยุคนั้นก่อนว่า ผมนั้นเป็นพวกลัทธิเพื่อนนิยม ซึ่งมีอาการบ้าเพื่อน บ้าพลัง และบ้าเลือดแบบมัวเมามาก....ย้ำ แบบมัวเมามาก  และมักแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรแบบนี้อยู่เป็นประจำ เป็นประเภทเสียเลือดไม่ว่าเสียหน้ายอมตาย และผมก็ทราบดีว่า  แฟนๆท่านทั้งหลายที่อ่านเรื่องสั้นของผม และท่านทั้งหลายที่กำลังอ่านเรื่องเล่าของผมอยู่ในขณะนี้ ก็มีโรคประจำตัวแบบผมเหมือนกัน หรือท่านจะปฏิเสธ?

เอ้า! ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจตรงกันแล้ว  ก็มาว่ากันต่อเลย......  พวกมรึง ไม่กลัว BU ใช่มั๊ย?” ไม่ทันที่มันจะตอบ ผมปล่อยประโยคต่อไปทันที ไม่ต้องตัว-ตัวหรอก กูให้มึง 3 เลย  ผมจิกหัวไอ้ตัวที่เพื่อนเอ้ ชี้ให้ดู   จิกหัวขึ้นติดมือมาเลย    จริงๆจะว่าไปแล้ว  ก็ถือว่าผมนั้นเอาเปรียบนักเรียนอาชีวะรุ่นเดียวกันพอสมควร ก็เพราะผมเป็นทั้งกรรมกรแบกหาม เป็นทั้งนักมวยสากลสมัครเล่น ที่ย่อมมีสภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์กว่าคนรุ่นเดียวกันเป็นธรรมดา  เด็กพวกนั้น ไม่มีทางเลยที่จะสู้ผมได้   ผมใช้มือซ้ายจิกหัวไอ้ตัวที่เพื่อนเอ้ ชี้ให้ดู  จิกและลากออกมาตรงประตูหน้าอย่างเร็วและแรง   ในขณะที่เพื่อนๆมันอีก 2 คนนั่งอ้าปากค้างเลย แต่ก็ไม่ช่วยให้รอดหรอกครับ  ข้างหลังผมมีทั้ง ไอ้เคใหญ่ ไอ้เอ้ ไอ้เก่ง ไอ้แมงวัน และแน่นอนไอ้เจ้าชายกบ......

ผมจิกหัวเด็กเปรม แล้วจับหัวโขกตรงกระจกแผ่นที่อยู่ตรงประตูผู้โดยสารด้านหน้า ที่เป็นบานพับ ผมจับโขกอย่างแรง 3-4 ครั้งจนกระจกบานนั้นแตกและหัวเด็กเปรมคนนี้ เต็มไปด้วยเลือด  เด็กเปรมเอามือเกาะบานประตูเกร็งไว้ไม่ให้ผมจับโขกได้ถนัด  ผมตอนนั้นองค์ลงแล้ว ผีเข้าสิงแล้ว หยุดไม่ได้แล้ว  ผมควักมีดคัทเตอร์ใบใหญ่ออกมาแล้วตัดไปที่นิ้วของเด็กเปรมที่กำลังเกาะประตู จนนิ้งห้อยร่องแร่งเลย แล้วผมก็ลากมันลงมาจากรถ  แล้วก็เตะเข้าไปที่ปลายคาง จนคนนี้สลบไปแล้ว    ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็โดนไม่น้อยกว่ากัน คนนึงวิ่งหนีไปได้ แต่ก็โดนรถชน อีกคนที่หนีไม่ทันก็สลบเหมือนกัน.....

ถ้าแฟนๆเคยอ่านเรื่องราวของผมมาบ้างแล้วก็จะทราบดี   ถ้าคู่ต่อสู้ ทรุด ร่วง หรือสลบไป นั่นไม่ได้ทำให้พวกเค้ารอดหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยแต่อย่างใด  แต่นั่นกลับยิ่งนำไปสู่หายนะที่ยิ่งกว่าตอนยังไม่สลบซะอีก  เพราะคนที่ทำหน้าที่เก็บกวาด เป็นครั้งสุดท้าย และเป็นคนลงมือ เพื่อจบงาน มันคือ เจ้าชายกบไอ้ฮานีบาลแห่งยุคและแน่นนอน เก้าอี้ไม้ร้านลาบ ที่ท่ารถ ถูกใช้เป็นอาวุธสำหรับมัน เก้าอี้ไม้ตัวแล้วตัวเล่า ที่มันบรรจงฟาดลงไปที่หัวของเด็กเปรมที่นอนสลบอยู่ จนผมกับเพื่อนต้องลากตัว ไอ้เจ้าชายกบออกมาจากกองเลือดของอริต่างสถาบันที่ไหลนองจนเหม็นกลิ่นคาวเลือดไปหมดแล้ว

พวกเรารีบวิ่งออกจากจุดเกิดเหตุ แล้วเรียกแท็กซี่กลับซอยลาดพร้าว 38 ทันที ในใจผมคิดว่างานนี้ต้องมี อย่างน้อย 1 ใน 3 คน ไม่รอดแน่  แต่ผมไม่มีเวลาพอจะคิดถึงเรื่องพวกนี้ต่อ ยิ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการครอบงำของปีศาจร้ายด้วยแล้ว ผมยิ่งไม่มีวันคิดได้เลย!?!

รุ่งขึ้นพวกเรายังคงมาเรียนกันตามปกติ  พวกเรามาถึงกันก่อนเวลา เพราะประสบการณ์สอนเราว่า ถ้าก่อเหตุแล้ว พวกเราต้องมานัดเจอกันก่อนที่หลังโรงเรียน เพราะสายสืบสน.บางนา ชอบแฝงตัวเข้ามาเรียน แล้วล็อคตัวพวกเราเสมอเลย โดนไปหลายคนแล้ว   และก็จริงดังคาด....

นายเอ้ นายเค นายเล็ก(ผมขออนุญาตสงวนชื่อจริงของผมและเพื่อนๆเอาไว้นะครับ) นายเอ้ นายเค นายเล็กอาจารย์ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า ทั้งสามคนนี้ได้พ้นสภาพนักศึกษาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาจารย์นิดาประกาศออกไมค์   และแม้ผมจะนั่งกินเหล้าอยู่หลังโรงเรียน และยังไม่ได้เข้าในบริเวณโรงเรียน  ผมก็ได้ยินเสียงประกาศอย่างชัดเจน   ซักพักเดียว....ไอ้แมงวัน ก็เดินมาบอกผมว่า ไอ้เล็ก มึงไม่ต้องเข้าโรงเรียนนะ ตอนนี้เด็กเปรมที่วิ่งหนีไปได้  มันพาตำรวจเข้ามาชี้รูปพวกเราอยู่  และตอนนี้มึง 3 คนโดนอาจารย์ไล่ออกแล้ว…………..

ครับ..... ในขณะที่ผมนั่งเขียนถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเองและเพื่อนๆของผม   เรื่องราวแต่หนหลังที่ไม่มีทางที่ผมและเพื่อนของผมจะสามารถพาตัวเองย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว    ก็ทำให้ผมเกิดรู้สึกสำนึกในสิ่งผิดแบบรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง  จนบางอารมณ์ไม่อยากจะเขียนต่อ    แม้ว่าในทุกๆวัน   ผมจะสำนึกผิดต่ออดีตตัวเองอยู่ตลอดเวลาและกล่าวโทษตัวเองอยู่เสมอ  แต่ทุกๆครั้งเมื่อผมต้องนั่งลงและเล่าเหตุการณ์ย้อยอดีตกลับไป มันทำให้ผมรู้สึกแย่เสมอ  รู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก   แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่าคำขอโทษของผมต่อผู้เสียหายในแต่ละเหตุการณ์ ในตอนนี้ นั้นคงสายไปแล้ว และไม่เพียงพอ  และก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา  นอกเสียจากจะไปตอกย้ำให้ผู้เสียหายเกิดอารมณ์ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง    แต่ผมก็ยังจำเป็นที่จะต้องกล่าว คำขอโทษที่ไร้ค่า  ของคนไร้ค่า อย่างผม ไว้ที่นี่  วันนี้  อีกครั้ง ด้วยความเสียใจ และด้วยความจริงใจ  

สิ่งที่ผมนำมาถ่ายทอดให้ท่านได้รับรู้ และที่เล่ามาทั้งหมดในวันนี้  ทั้งสองเหตุการณ์สำคัญ  มันได้ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตของผม ระหว่างที่ผมเรียนอาชีวะที่โรงเรียนเทคนิคบุรณพนธ์ อันเป็นที่รักของผมและของพวกเราทั้งหลายที่นี่    เหตุการณ์ทั้งที่วัดศรีเอี่ยมและเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา   แม้ทั้งสองเหตุการณ์  จะไม่เกี่ยวข้องกัน  และต่างกันมากจนเทียบกันไม่ติด   ทั้งในส่วนของเรื่องราว ความเป็นมา มูลเหตุ  และขนาดของเหตุการณ์  รวมถึงความโหดเหี๊ยมต่อมนุษยชาติด้วยกันเอง   ผมยอมรับเรื่องนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย   แต่ผมกลับมองเห็นในสิ่งที่เหมือนกันจนแยกไม่ออก     
 
ป่าเถื่อน และ ไร้เหตุผลสิ้นดี    หรือพวกคุณว่าไม่ใช่?

***********************************************************************************************************
ติดตามอ่านเรื่องสั้นของผมได้ในทุกๆสัปดาห์ ที่นี่  และเท่านั้น


จากใจ
เล็ก 207

 

    อย่าคิดและเชื่อว่าผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด เพียงเพราะคุณเห็นและอยากให้เป็นเช่นนั้น






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น